ความสำเร็จของคนเราจะได้มาก็ด้วยการเรียนรู้และลงมือทำ เหมือนอย่างผู้บริหารหนุ่มอนาคตไกล “พสิษฐ์ รัตน์จารุพงศ์” เจ้าของผ้าพันคอแบรนด์ดัง ที่สร้างธุรกิจมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง โดยอาศัยใจล้วนๆ กับความเชื่อที่ว่า ของดีจริง ต้องอยู่ได้ สร้างธุรกิจไปอยู่แถวหน้าได้อย่างสำเร็จ
พสิษฐ์ หรือที่คนคุ้นเคยเรียกเขาสั้นๆว่า “สิษฐ์” เกริ่นออกตัวว่า ตัวเองไม่ได้มีดีกรีปริญญา หรือเป็นนักเรียนนอก พ่อแม่ “จูไล้-วิไล กัลยาวัฒนพงศ์” เป็นเจ้าของร้านทองที่ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตนได้เข้ามาเรียนหนังสือชั้นมัธยมปลายที่ ร.ร.มัธยมวัดเบญจบพิตร พอจบก็เข้าเรียนที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ทางบ้านขอให้กลับไปช่วยงานร้านทองที่บ้านเกิด เลยไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่สุดท้ายก็ไม่จบทั้ง 2 แห่ง ช่วงที่ช่วยงานที่บ้านก็รู้สึกเบื่อๆ อยากหาอะไรทำ เลยลองออกแบบ ตุ๊กตาแล้วให้คุณป้าคุณยายที่จังหวัดช่วยกันทำเป็นงานแฮนด์เมด นำไปออกงานของกรมส่งเสริมการส่งออก และงาน BIG+BIH ตอนนั้นอายุ 23-24 ปี ยังไม่เคยมีประสบการณ์ ก็เรียนรู้จากการทำงานด้วยตัวเอง เจอปัญหามากมาย ทั้งการทำงานร่วมกับคนเยอะๆ และงานฝีมือค่อนข้างควบคุมคุณภาพลำบาก จะให้มาเหมือนกันทุกชิ้นนั้นยาก บวกกับโดนก๊อบปี้เยอะมาก ทำอยู่ 2 ปีเลยอิ่มตัวและเลิกไป ตอนนั้นรู้จักเจ้าของปาลิโอ เขาใหญ่ ก็ไปลงร้านขายของใช้พวกผ้าพันคอ, แว่น, ถุงมือ, ถุงเท้า ตั้งใจขายนักท่องเที่ยว พอคนกรุงเทพฯ ไปเที่ยวแล้วซื้อผ้าพันคอมาใช้เกิดชอบกัน ก็บอกกันปากต่อปาก จึงเป็นเหตุให้ตัดสินใจมาเปิดร้านที่กรุงเทพฯ แล้วทำผ้าพันคอออกขายเพียงอย่างเดียว และทำแบรนด์ให้ชัดเจนโดยใช้ชื่อ kiss me doll
“ที่เลือกทำเพียงไอเทมเดียว เพราะตอนนั้นผมคิดว่า ถ้าขายข้าวมันไก่ก็อยากทำข้าวมันไก่ให้ดีที่สุด เลยทำมันเพียงอย่างเดียว พัฒนาให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญไปเลย จะต้องวางผ้าอย่างไร ใช้สีจากอิตาลี แทนสีจากจีน รวมถึงเทคนิคการเย็บ บางครั้งเราจ่ายแพงกว่า ลูกค้าไม่รู้ แต่เรายอม เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดี เพราะผมคิดว่า การทำของดีออกมาขาย เมื่อเราซื่อสัตย์ต่ออาชีพตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ไม่โกงลูกค้า ให้เกียรติตัวเองและเราพัฒนาไม่หยุดนิ่ง เราจะเป็นตัวจริงที่อยู่ได้ แล้วก็เป็นจริง แบรนด์ที่ติดตลาด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบอกปากต่อปากกันไป ตอนนี้นอกจากจะขายในประเทศ ซึ่งมีอยู่ 40 สาขาตามหัวเมืองใหญ่ๆ
ทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ, พัทยา, หัวหิน, ภูเก็ต ซึ่งเป็นร้านของเราเองทั้งหมดแล้วเรายังส่ง ออกไปต่างประเทศ ทั้งจีน, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน และฮ่องกงอีกด้วย” สิษฐ์ร่ายยาวถึงธุรกิจผ้าพันคอของเขา
...
แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ สิษฐ์ บอกว่า “ผมชอบทำอะไรให้ชัดเจน รักอะไร ชอบอะไร ทำมาจากข้างใน ดูเหมือนเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่การทำด้วยใจจริงๆ และซื่อสัตย์ และอย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง มีส่วนสำคัญมาก ผมเองก็ผ่านวิกฤติมาพอสมควร แต่ก็บอกกับตัวเองเสมอว่า คนเราไม่ได้มีพระอาทิตย์ขึ้นตลอดเวลา มันต้องมีพระอาทิตย์ตกด้วย ยังมีคนที่แย่กว่าเราเยอะ เพราะ ฉะนั้นต้องกลับมาดูตัวเองแล้วนำไปพัฒนา และต้องรับมือกับทุกปัญหาอย่างมีสติครับ”...สมเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่น่าสนใจจริงๆ.