“แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเรือ” ลุกขึ้นมาเป็นดีไซเนอร์ก็ว่าฮือฮาแล้ว แต่ล่าสุดวงการแฟชั่นเมืองไทยยังมีโอกาสต้อนรับ “เจ๊ใหญ่แม่ค้าสำเพ็ง” เข้ามาร่วมสร้างสีสันบนรันเวย์เพิ่มอีกคน แถมเจ๊ใหญ่คนเนี้ยไม่ธรรมดาซะด้วย เพราะเข้าตำราอึด-ถึก-ลุยครบสูตรเจ้าแม่เปี๊ยบ ย่านสำเพ็งไม่มีใครไม่รู้จัก “คุณนายเจ๊วี-สุภาวดี ศิริรัตนพล” เจ้าแม่ค้าส่งลูกปัด-เลื่อม-มุกรายใหญ่ที่สุดของเมืองไทย สร้างรายได้ปีละหลายร้อยล้าน

“วีเป็นคนหนองคาย คุณพ่อเปิดร้านขายอาหารตามสั่ง ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี เราโตมาแบบไม่เคยลำบาก แต่ด้วยความฝันอยากเข้ากรุงเทพฯ จึงขอคุณพ่อมาเรียนบริหาร ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ชีวิตในกรุงเทพฯไม่เหมือนที่คิดเลย คุณพ่อคุณแม่ส่งเงินให้ใช้ทุกเดือน ก็จริง แต่เราไม่กล้าบอกว่าเงินไม่พอใช้ กลัวโดนเรียกตัวกลับบ้าน เลยต้องดิ้นรนทำงานทุกอย่างเพื่อเรียนให้จบปริญญาตรี”...“เจ๊วี” บอกเล่าพื้นเพเดิมก่อนจะมาเป็นเจ้าแม่สำเพ็งอย่างทุกวันนี้
เข้ากรุงเทพฯครั้งแรก ลำบากสาหัสสากรรจ์มากไหม
...
ตอนวีเข้ากรุงเทพฯใหม่ๆจำได้เลยว่าเราบ้านนอกมาก!! คุณแม่พามาส่งที่หมอชิต ลงจากรถปั๊บอ้วกตรงนั้นเลย เพราะเหม็นควันรถและเมารถ นั่งรถแอร์ไม่ได้ ต้องนั่งแต่รถเมล์เปิดหน้าต่างกว้างๆ ขึ้นลิฟต์ก็ไม่เป็น เดินชนประตูกระจกบ่อยๆ ขนาดกดน้ำชักโครกยังตกใจ ตอนมาจากหนองคายใหม่ๆอ้วนมาก น้ำหนักเกือบ 65 กิโลกรัม แต่อยู่กรุงเทพฯแค่ปีเดียวเหลือ 40 กิโลกรัม เพราะกินไม่ได้ คิดถึงกับข้าวที่บ้าน อยากกลับบ้านมาก แต่เรากลับไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ต้องเรียนให้จบ ชีวิต 4 ปี ตอนอยู่กรุงเทพฯ ต้องช่วยเหลือตัวเองเพื่อหาเงินเรียน ต้องรับจ้างซักผ้ารีดผ้ากับเพื่อนในหอพัก ถามว่าอายไหม ก็แอบอายนะ เรายังเป็นลูกมือช่วยแม่บ้านที่หอพักทำอาหาร ทำให้ไม่ต้องซื้อกับข้าวกินเลย เสาร์ อาทิตย์ก็ไปรับจ้างขายของที่จตุจักร ตอนนั้นเก็บเงินเก่งมาก เป็นเด็กอายุ 18-19 ปี เก็บเงินได้เกือบแสน ถ้าเล่าแบบนี้คนหนองคายอาจไม่เชื่อ เพราะร้านอาหารของเราใหญ่ที่สุดในหนองคาย

ชีวิตเป็นโล้เป็นพายขนาดไหน หลังผจญภัยในกรุงเทพฯ
พอเรียนจบปั๊บก็กลับบ้านทันที ไปช่วยคุณพ่อดูแลร้านอาหาร ตอนนั้นขอคุณพ่อว่าอยากจะปรับปรุงเป็นร้านอาหารหรูหราติดแอร์ เราเห็นร้านอาหารในกรุงเทพฯต้องติดแอร์ ถึงจะอัพราคาอาหารได้ วีขอเปลี่ยนชื่อร้านใหม่เป็น “หลังจวน” เพราะทำเลที่ตั้งอยู่หลังจวนผู้ว่าฯ ปรากฏว่าร้านใหม่ขายดีมาก เปิดวันแรกขายได้เป็นแสน กลายเป็นร้านหรูที่สุดในหนองคาย มีผู้หลักผู้ใหญ่สำคัญๆของประเทศแวะเวียนมาตลอด ทำให้มีโอกาสรู้จักคนเยอะ ในยุคนั้นเป็นยุคที่นายกฯชาติชาย ชุณหะวัณ เข้ามาทำโปรเจกต์สร้างสะพานมิตรภาพเชื่อมไทย-ลาว ที่หนองคาย ทำให้วีได้เป็นนายหน้าค้าที่ดิน แล้วค่อยขยับไปทำโปรเจกต์จัดสรรที่ดินทำหมู่บ้านขนาด 70 ไร่ มูลค่า 300 ล้านบาท ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่เจอวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ทำให้ชีวิตเราแตกสลายไม่เหลืออะไรเลย กลายเป็นหนี้ 40-50 ล้านบาท!! เคยคิดอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็เปลี่ยนใจลุกขึ้นมาสู้ใหม่ โดยหักเหชีวิตมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหาลู่ทางล้างหนี้

ผ่านพ้นวิกฤติหนี้ท่วมหัวขนาดนี้มาได้ยังไง
หลายคนแนะนำให้ปล่อยเป็นเอ็นพีแอล แต่เรายอมไม่ได้ ถ้าติดแบล็กลิสต์แล้วจะทำมาหากินยังไงต่อไป ตอนแรกๆก็กัดฟันเอาเงินจากร้านอาหารมาส่งแบงก์ทุกเดือน เดือนละเกือบ 8 หมื่นบาท และยังต้องเลี้ยงดูคนทั้งบ้าน ซึ่งมันไม่พอหรอก เราเลยเข้ากรุงเทพฯลองหาลู่ทางใหม่ๆ มีอยู่วันหนึ่งวีไปเดินสำเพ็งหาซื้อของไปขายที่หนองคาย ตอนเดินผ่านตรอกหัวเม็ด มีโซนหนึ่งขายแต่กระดุม เราเดินผ่านแล้วร้องโอ้โหเลย ทำไมอ่ะยังไม่ 8 โมงเช้าดี แต่ละคนนับเงิน 2-3 หมื่นบาท รอซื้อกระดุมกับเจ๊แล้ว ก็สงสัยนะว่าคนกรุงเทพฯจะซื้อกระดุมไปทำอะไรเยอะแยะ แต่เราฝันอยากทำแบบนี้บ้าง เจ๊ยังไม่ทันล้างหน้า ตื่นมาก็ได้เงินเป็น แสนแล้ว!! ทำให้เราไปเดินวนเวียนสำเพ็งอยู่หลายวัน จนเจอตึกแถวติดป้ายประกาศให้เช่า ตอนนั้นหนี้ท่วมหัว ก็ถามตัวเองว่าจะมีปัญญา เช่าตึกแถวเหรอ ถ้าอยากมีเงินแสนแบบเจ๊ขายกระดุมก็ต้องลุย เจ้าของตึกแถวเมตตาขายให้ 12 ล้านบาท โดยทยอยผ่อนได้ วีเลยกัดฟันสู้ เอาแหวนสร้อยและรถบีเอ็ม คู่ใจขายหมด เพื่อมาซื้อตึกแถว 3 ชั้น หน้ากว้าง 3 เมตร ลึก 8 เมตร
...

จากลูกอีสานผันตัวเป็นเจ้าแม่สำเพ็งได้อย่างไร ไม่โดนอาเจ๊ อาเฮียเขม่นแย่เหรอ
ตอนไปขายใหม่ๆ มีคน จีนใส่กางเกงขาก๊วยมาเก็บค่าคุ้มครองเหมือนในหนัง เขาบอกลื้อต้องเอาเงินค่าดูแลให้อั๊ว เราร้องไห้บอกมีแต่หนี้สิน คุยไปคุยมาเขาก็เมตตา เห็นใจ ทุกคนโดนหมดยกเว้นร้านเรา ตอนใหม่ๆอาเจ๊อาเฮียอาจไม่พอใจคิดว่าเราเป็นคู่แข่ง แต่อาศัยเราเด็กกว่าและไม่ประสีประสาอะไร เลยเข้าไปสวัสดีฝากเนื้อฝากตัวกับทุกคน ทำให้คนสำเพ็งเมตตาเรา ไปพูดกับอาเจ๊อาเฮียที่ไหนก็เมตตาหมด ให้เครดิต เอาของไปขายก่อน ก็ขายหมดทั้งลูกปัด, เลื่อม และลูกไม้ตกแต่งเสื้อผ้า ลงทุนค่าของไป 4 ล้านบาท วันแรกขายได้ 6,800 บาท ดีใจร้องไห้นอนไม่หลับ จากนั้น ก็ค่อยๆขายดีขึ้น เพราะเราเน้นขายปลีกด้วย ขณะที่ร้านอื่นๆขายส่งอย่างเดียว ตอนหลังเริ่มรู้แล้วว่าจะเอาของมาขายจากที่ไหน ก็บินไปสั่งซื้อเองที่ญี่ปุ่น, จีน, ฮ่องกง และเกาหลี คราวนี้ขายได้วันละล้าน

...
อะไรทำให้กัดฟันสู้ชีวิต โดยไม่ยอมแพ้อุปสรรค
เราสู้ชีวิตได้ขนาดนี้ เพราะมีคุณพ่อเป็นไอดอล คุณพ่อเป็นคนกาฬสินธุ์ ท่านสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเปล่า เรียนไม่จบ ป.4 ด้วยซ้ำ ยังร่ำรวยเป็น เศรษฐีคนหนึ่งของจังหวัดได้ ด้วยเหตุนี้เลยมุ่งมั่นว่าจะต้องได้ดีสร้างตัวด้วยลำแข้งให้ได้เหมือนพ่อ เราจะน้อยกว่าพ่อไม่ได้ ไม่งั้นเราไม่ใช่ลูกพ่อ
ค้าขายที่สำเพ็งช่วยให้ล้างหนี้หมดภายในกี่ปี
แค่ 3 ปี ก็จ่ายหนี้หมด!! แต่ 3 ปีแรกไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวันเลยนะ อยู่เฝ้าร้านขายของทั้งวันทั้งคืน เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เพราะไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ ข้าวปลาก็กินไม่เป็นเวลา น้ำหนักลดฮวบ แต่เราก็สู้สุดชีวิต เพื่อรวบรวมเงินทุกบาททุกสตางค์มาจ่ายหนี้ หลายคนบอกว่าโง่มากที่ทำแบบนี้ ทำไมไม่ปล่อยให้เอ็นพีแอล แต่เราไม่ยอมเด็ดขาด เรามาถึงจุดนี้ได้เพราะความซื่อสัตย์ ก็ต้องรักษาความซื่อสัตย์ให้ดีที่สุด

ธุรกิจค้าขายกระดุมทำให้สร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเศรษฐินีเร็วขนาดไหน
วีค้าขายอยู่ในสำเพ็ง 5 ปีแรก ก็สามารถตั้งตัวได้แล้ว มีบ้านมีรถมีเพชรใส่เหมือนอย่างที่ฝันทุกอย่าง จากนั้นก็ขยับขยายย้ายทำเลร้านมาเปิดที่ใหม่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าตัว เป็นตึกแถว 7 ชั้น หน้ากว้าง 6 เมตร ลึก 60 เมตร เปลี่ยนชื่อร้านจาก “รุ่งเรือง” มาเป็น “เจริญ” มีขนาดเหมือนช็อปปิ้งมอลล์ดีๆนี่เอง เราโชคดีที่ได้ดีไซเนอร์เก่งๆดังๆของไทยหลายคนมาเป็นลูกค้า เพราะเรามีของแปลกคุณภาพดีที่ร้านอื่นไม่มี ลูกไม้ฝรั่งเศสเมตรละ 4 พันบาท เราก็มีขาย ลูกปัดมีทุกขนาดทุกสีสัน เราขายส่งทั่วประเทศในราคาย่อมเยา มีลูกค้าโรงงานการ์เมนต์ก็เยอะ นอกจากนี้ยังขายส่งลาว, เวียดนาม, พม่า, อินโดนีเซีย และดูไบ ปัจจุบันมียอดขายหลายร้อยล้านบาทต่อปี
...
รวยขนาดนี้ ทำไมเจ้าแม่สำเพ็งต้องกระโดดมาเป็นดีไซเนอร์แฟชั่น
หลายคนบอกว่าเรามีกินมีใช้ไปทั้งชาติแล้ว จะมาเหนื่อยอีกทำไม!! วีค้าขาย อยู่ในสำเพ็ง 18 ปีเต็ม จนใครๆก็เรียกว่า “คุณนายเจ๊” เพราะชอบแต่งตัวมาก ใส่เพชร หิ้วกระเป๋าแอร์เมสตลอด แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเบื่อตัวเอง เพราะใช้ชีวิตสุขสบายเกินไป ทำงานแค่ครึ่งวัน แล้วอีกครึ่งวันไปเดินช็อปปิ้งและเข้าฟิตเนส ทำอย่างนี้อยู่ 3 ปี จนรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เพราะเราเคยทำงานเป็นควายตั้งแต่สาวๆ รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ยังเหลืออย่างหนึ่งที่ฉันอยากทำ ฉันอยากเป็นดีไซเนอร์ทำเสื้อผ้าสวยๆใส่ และอยากมีแบรนด์แฟชั่นของตัวเอง ธุรกิจเล็กๆที่ฝันไว้เลยกลายเป็นแบรนด์เสื้อผ้า WEE พอเริ่มทำเสื้อผ้ามีคนแนะนำให้เสนอห้างฯ วีไม่รู้จักใครเลยก็ดิ่งๆเข้าไปแบบมวยวัด ติดต่อฝ่ายจัดซื้อพารากอน ทางพารากอนชอบมากให้เปิดป๊อปอัพสโตร์ 1 เดือน ปรากฏว่าขายได้ 2 ล้านบาท

โกอินเตอร์ไปถึงรันเวย์แอลแฟชั่นวีคได้ยังไง
พอดีทางห้างฯเซนเห็นผลงานของวีแล้วชอบ เลยชวนให้มาเปิดป๊อปอัพสโตร์ 1 เดือน ขายได้ 2 ล้านบาท ผู้บริหารเซนเลยให้เปิดช็อปลงสินค้าขายทันที พร้อมผลักดัน ให้ทำแฟชั่นโชว์บนรันเวย์แอลแฟชั่นวีค ซีซั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2016 ทุกวันนี้มียอดขายเดือนละ 5-6 ล้านบาท และมีแผนจะไปวางขายในห้างสรรพสินค้าใหญ่ของจีน

ชีวิตนี้มาไกลเกินฝันหรือยัง อะไรคือที่สุดของความภูมิใจ
ภูมิใจที่เกิดเป็นลูกพ่อแม่ พ่อแม่มาจากชาวนา เริ่มต้นด้วยการถีบสามล้อ มาเป็นลูกจ้างล้างจานในร้านอาหาร กระทั่งตั้งตัวได้เอง วียังภูมิใจมากที่สามารถเป็นเสาหลักเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบาย สามารถดูแลลูกน้องร่วม 100 คน ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้ เรามีบ้านหลังใหญ่ มีรถหลายคัน มีแหวนเพชรเม็ดใหญ่ๆใส่ ถือกระเป๋าใบละล้าน นั่งเฟิร์สคลาสไปเที่ยวเมืองนอก มีชีวิตเหมือนเศรษฐีคนหนึ่ง เราไม่เคยลืมบุญคุณลูกน้องทุกคน
ทุกวันนี้ถือแอร์เมสบินเฟิร์สคลาส ยังจกปลาร้าอยู่ไหม
กินส้มตำปลาร้าทุกมื้อค่ะ เราเป็นคนรักบ้านเกิดไม่เคยอาย ยืนยันว่ายังเป็นบ้านนอกตัวจริง.
ทีมข่าวหน้าสตรี