แม้จะเกิดเป็นลูกหลานตระกูลธรรมวัฒนะ ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นตระกูลต้องคำสาป ไม่แตกต่างจากตระกูลเคนเนดีและอีกหลายๆ ตระกูลใหญ่ ที่พี่น้องทะเลาะแย่งสมบัติกันจนนำไปสู่ความขัดแย้งมิรู้จบ แต่สำหรับทายาทรุ่นใหม่ ปอนด์-ชยพล หลีระพันธ์ ลูกชายคนโตวัย 27 ปี ของ "อ.มัลลิการ์ (ธรรมวัฒนะ) หลีระพันธ์" เขากลับถือคติว่ามรดกไม่ยุ่ง มุ่งขยันทำมาหากิน เพื่อพิสูจน์ให้คนเห็นว่าลูกหลานตระกูลนี้
ก็รวยได้ด้วยลำแข้งตัวเอง ไม่ใช่เก่งแต่ทะเลาะกัน!!
ชื่อเสียงของ "ปอนด์-ชยพล" เพิ่งจะโด่งดังเป็นที่รู้จักในสังคมวงกว้าง หลังจากเปิดตัวเป็นแฟนกับนางเอกสาวคนดัง "นุ้ย-สุจิรา อรุณ-พิพัฒน์" นางสาวไทยประจำปี 2544 ทั้งๆที่ ความจริงแล้วในแวดวงธุรกิจร้านอาหารรู้จักหนุ่มคนนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะนอกจากเขา จะเป็นทายาทสืบทอดธุรกิจร้านอาหารหลายร้อยล้านบาทในเครือมัลลิการ์ อินเตอร์ ฟู๊ด จำกัด ยังได้รับเสียงชื่นชมในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ที่มีไอเดียสร้างสรรค์แหวก แนวไม่ซ้ำใคร จนเป็นที่เลื่อง ลือว่าถ้าจะคิดสูตรอาหารให้ โดนใจนักชิมและขายดิบ ขายดีล่ะก็ ต้องปรึกษา "เดอะ ปอนด์" เท่านั้นถึงจะเวิร์ก!!
เติบโตมาในบรรยากาศ แบบไหนคะ ถึงได้รักการ ทำอาหาร
คุณยาย (สุวพีร์ ธรรม- วัฒนะ) ทำตลาดยิ่งเจริญ แล้ว คุณแม่ต้องไปช่วยงานคุณยาย ที่ตลาด ทำให้ตอนเด็กๆได้ ไปเดินเล่นที่ตลาดเป็นประจำ คือกลับจากโรงเรียนสาธิตเกษตรฯ คุณแม่ก็จะรับไปอยู่ที่ตลาดด้วย ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ เฉพาะคุณแม่ก็มีพี่น้อง 10 คน ส่วนรุ่นหลานๆมีประมาณ 50 คน ยังจำ ได้ว่าสมัยก่อนพวกเราจะอยู่รวมกันหมด ไปไหนก็ขับรถยกโขยงไป เป็นความทรงจำดีๆที่อยากให้หวนกลับมาอีก
มีแววตั้งแต่เล็กๆไหมว่าจะเอาดีด้านธุรกิจ ร้านอาหาร
คุณยายสร้างตัวมาจากร้านอาหารและคุณแม่ก็ทำธุรกิจร้านอาหารเช่นกัน ส่วนผมชอบทาน ตั้งแต่เด็กๆออกจะเป็นเด็กจ้ำม่ำหน่อย โดยมีโอกาสเข้าครัวทำอาหารเองครั้งแรกตอนไปเรียนซัมเมอร์ที่นิวซีแลนด์ อายุแค่ 8 ขวบ ไปพักอยู่กับแฟมิลีฝรั่ง ตกดึกเกิดหิวอยากทานอาหารไทยมาก เลยลองทำดู เริ่มจากหุงข้าวและทำยำปลากระป๋อง ปรากฏว่าอร่อยใช้ได้ ก็เลยทำให้ฝรั่งชิมบ้าง พอได้รับเสียงชม เรายิ่งมีกำลังใจอยากทำอีก ก็ลองทำมาทุกซัมเมอร์ จนทุกวันนี้ยังงงตัวเองว่าไม่มีใครสอนเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ทำอาหารได้ คุณแม่ก็อึ้งว่าทำไมเราทำแบบมั่วๆของเราขึ้นมาได้
ได้โชว์พรสวรรค์ด้านการคุกกิ้งเป็นเรื่องเป็นราวตอนไหน
ตอน ม.4 ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำที่อเมริกา ชื่อว่าเฟาน์เทน วัลเลย์ สคูล ออฟ โคโลราโด ตอนไปเรียนใหม่ๆตื่นตาตื่นใจมาก เพราะโรงอาหารของโรงเรียนเสิร์ฟเมนูจากโรงแรมแมริออท แต่อร่อยไปได้สักพักก็รู้สึกเบื่อ เพราะเมนูชักจะซ้ำไปซ้ำมา เป็นอาหารฝรั่งทุกจาน ทานบ่อยๆก็เลี่ยน เลยเริ่มออกไปดูรอบๆเมืองว่ามีอะไรอร่อยๆบ้าง ก็ไปค้นพบตลาดของคนไทย คราวนี้เลยซื้อของสดของแห้งทุกอย่างมาตุนไว้เพื่อทำเมนู อาหารไทย เมนูแรกที่ทำคือมัสมั่นไก่ ก็ออกมาใช้ได้ จากนั้นก็ลองทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ถ้านึกไม่ออกก็โทร.ถามคุณแม่ว่าเมนูนี้ทำยังไง เราเริ่มฝึกฝีมือของเรา ทำไปเรื่อยๆ คราวนี้ไม่ได้มีแค่อาหารชาติเราเท่านั้น แต่ยังแลกเปลี่ยนสูตรกับเพื่อนๆนักเรียนด้วย ทำให้ได้ลองทำเมนูชาติต่างๆ โชคดีที่โรงเรียนเราจัดงานออกร้านทุกปี ให้นักเรียนอินเตอร์ทำอาหารมาขาย ซึ่งผมเป็นนักเรียนไทยคนเดียวในโรงเรียน เลยมีโอกาสแสดงฝีมือ ก็เล่าให้คุณแม่ฟังว่าชอบทำอาหาร รู้สึกสนุกดีและมีความสุข เวลาที่คนทานอาหารของเราแล้วชมว่าอร่อย
ตอนเรียนอยู่เกรด 12 เทียบเท่ากับ ม.6 เริ่มมีประสบการณ์ทำอาหารพอสมควร เลยไปแข่งขันทำเม็กซิกันชิลลี ในงานออกร้านของซุปเปอร์โบว์ล ปรากฏว่าชนะได้รางวัลที่หนึ่ง เพราะคนอื่นทำเม็กซิกันชิลลีโดยใช้พริกปาปริกาแบบต้นตำรับ แต่ผมเปลี่ยนไปใช้พริกขี้หนูแล้วเอาซอสพริก
ศรีราชาผสมลงไปปั่นรวมกัน เนื้อก็ใช้หางวัวต้มแทนการใช้เนื้อบดและเสิร์ฟกับข้าวเหนียว ทำให้โดนใจคณะกรรมการ
เห็นแววรุ่งขนาดนี้ คุณแม่สนับสนุนให้ทำเป็นอาชีพไหม
ท่านเห็นว่าลูกชายมีพรสวรรค์จริงๆเลยสนับสนุนให้เรียนต่อปริญญาตรี โดยผมได้ทุนจากมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด จึงเลือกเรียนต่อในภาควิชา บริหารการโรงแรม ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว พอเข้าไปเรียนจะมีการแบ่งความถนัด รู้ตัวว่าถนัดเฉพาะทำอาหารเพราะทำคะแนนได้ดีหมด ระหว่างที่เรียนอยู่เพื่อนๆคงเห็นฝีมือ เลยโหวตให้เป็นเอ็กเซ็กคลูทีฟ เฮด เชฟ หรือเชฟใหญ่ประจำรุ่น และก่อนจบต้องเซตงานเลี้ยงดินเนอร์เหมือนจริงเพื่อเสิร์ฟ ให้สปอนเซอร์ของโรงเรียน ผมทำหน้าที่ดูแลเมนูอาหารทุกอย่าง เลือกทำอาหารอิตาเลียน เลยศึกษาค้นคว้าข้อมูลละเอียด ตรงนี้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญ 
ตอนนั้นคุณแม่ทำร้านอาหารหรือยัง
คุณแม่มีร้านอาหารไทยตั้งแต่ผมเรียนชั้น ป.6 เดิมทีเดียวท่านเป็นครูสอนชั้นประถมฯโรงเรียนสาธิตเกษตรฯและผู้บริหารโรงเรียน ตอนหลังลาออกมาทำธุรกิจร้านอาหารของตัวเอง และขยายธุรกิจมาเรื่อยๆ พอผมเรียนปริญญาตรี คุณแม่ก็มีร้านเย็นตาโฟเครื่องทรง โดย อ.มัลลิการ์ ประมาณ 15 สาขา จนถึงปัจจุบันขยายมา 28 สาขาแล้ว แต่ก็มีปิดตัวไปบ้าง
คุณแม่ทำกับข้าวเก่งไหมคะ
ท่านมีพรสวรรค์ด้านการชิม พอชิมปุ๊บจะรู้เลยว่าอาหารจานนี้ใส่อะไรบ้าง หรือขาดรสชาติอะไร ท่านเข้าครัวทำอาหารไม่บ่อย แต่มีเทสต์ดีมากเรื่องรสชาติอาหาร เวลาครอบครัวเราไปทานข้าวที่ไหน มักเถียงกันว่าจานนี้ใส่อะไรบ้าง หรือน่าจะเพิ่มอะไร พอผมเข้ามาช่วยงานด้านการตลาด เลยเสนอว่าลูกน้องคนไหนคิดเมนูใหม่ได้ จะมีรางวัลให้คนละ 500 บาท
นอกจากช่วยงานคุณแม่แล้ว ยังขยายธุรกิจอะไรอีก
หลังจากเรียนจบกลับมาเมืองไทย ผมไปเรียนต่อด้านบริหารที่ศศินพร้อมๆ กับที่ช่วยงานคุณแม่ และระหว่างนั้นก็เกิดไอเดียว่าเราน่าจะทำร้านพิซซ่าแนวใหม่ รสชาติแบบไทยๆ คือมีอยู่วันหนึ่งผมอยากทำพิซซ่าทานและซื้อวัตถุดิบทุกอย่าง ไว้แล้ว แต่ดันลืมเครื่องแต่งหน้าพิซซ่า ก็ลองเปิดตู้เย็นหาดูว่ามีอะไรเหลือพอดัดแปลงบ้าง ตอนนั้นเจอทั้งหมูกะเพรา หมูกระเทียม และคั่วกลิ้ง เลยเอามาทำ เป็นหน้าพิซซ่าแล้วให้คุณแม่ลองชิม ปรากฏว่าท่านชอบและให้ลองทำเสิร์ฟลูกค้า ที่ร้าน ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมาก เลยตัดสินใจเปิดร้านพิซซ่าบวกกับพาสต้าแนว อิตาเลียน ตั้งชื่อว่า Papa Pond Pizza Pie & Pasta เป็นชื่อที่เพื่อน ฝรั่งตั้งให้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปเรียนที่เดนเวอร์ โดยจะเล่นกับตัว "P" 6 ตัว เรียกสั้นๆว่า "ปาป้าปอนด์" เปิดสาขาแรกที่ย่านสุคนธสวัสดิ์ เรียบถนนเอกมัย-รามอินทรา เมื่อ 3 ปีที่แล้ว 
ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไหมคะ
ก็พอไปได้เรื่อยๆเพราะทำเลใช้ได้ อยู่ติดกับโรงเรียนโชคชัย มี ผู้ปกครองอุดหนุนเยอะและเป็นโรงเรียนใหญ่ มีนักเรียนกว่า 3,000 คน แถมบริเวณรอบๆไม่มีร้านอาหารเลย ตั้งราคาไม่แพง พิซซ่าขนาด 9 นิ้ว 6 ชิ้น ขาย 190-240 บาท ปัจจุบันก็ยังเปิดขายอยู่ เพียงแต่พัฒนาเป็นศูนย์เตรียมวัตถุดิบเพื่อส่งไปตามสาขาอื่นๆด้วย และเมื่อ 2 ปีก่อน ผมได้ขอ คุณแม่เปิดสาขาที่ 2 ที่อาคารสำนักงานใหญ่ของมัลลิการ์ อินเตอร์ ฟู๊ด จำกัด เพราะเห็นว่าแทฟฟิกดี มีคนเข้าออกเยอะ พนักงานทั้ง 500 คน ในเครือบริษัท ต้องหมุนเวียนกันมาเทรนที่นี่ เพื่อควบคุมมาตรฐานให้ เหมือนกันหมด คราวนี้ผม เสนอไอเดียทำร้านรูปแบบ ใหม่ ที่มีเย็นตาโฟเครื่องทรงกับพิซซ่ารสชาติไทยๆ ของปาป้าปอนด์ให้บริ-การอยู่ในร้านเดียวกันเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าเวิร์กสุดๆ ขายดีมาก เลยคุยกับคุณแม่ ว่าน่าจะนำไอเดีย ตรงนี้ไปขยายตลาดต่อ
ครอบครัวอบอุ่นของ "ปอนด์-ชยพล หลีระพันธ์" พร้อมหน้าด้วยพ่อแม่และน้องสาว
เมื่อไหร่นักชิมในละแวกอื่นๆ จะมีโอกาสลองพิซซ่าสไตล์ ใหม่ รสชาติไทยๆบ้าง
ผมเปิดสาขาที่ 3 แล้ว อยู่ที่ตึกเพลินจิต เซ็นเตอร์ โลเกชั่นใจกลาง เมือง และกำลังวางแผนขยายสาขาร้านในรูปแบบใหม่ 2 อิน 1 ไปตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆทั่ว ประเทศ เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เพิ่งบุกตลาดศูนย์การค้าไปเปิดสาขาใหม่ ที่เอสพลานาด รัตนาธิเบศร์ คนเยอะมาก ขายดีมือเป็นระวิง ทำกันแทบไม่ทัน
ถ้าถามผม คิดว่าคงโดนใจตลาดครอบครัว ที่เข้ามาในร้านเดียวสามารถ เลือกทานได้ทั้งเย็นตาโฟและพิซซ่า รวมถึงอาหารอิตาเลียนเต็มรูปแบบ ท่ามกลางบรรยากาศตกแต่งสบายๆดูรีแล็กซ์ ราคาสบายกระเป๋า ช่วงกลาง ปีนี้ ยังมีแผนขยายสาขาไปเปิดที่โครงการสุพรีมมอลล์ ย่านสามเสน 
คู่หวานที่คอยเป็นกำลังใจ ให้กันและกัน
ไม่น่าเชื่อนะคะว่าตลาดพิซซ่าในเมืองไทยจะยังเปิดกว้างอยู่
ตลาดพิซซ่ายังเปิดกว้างอยู่มากครับ แต่สิ่งที่ค้นพบใหม่ก็คือ การสร้างตลาดพิเศษที่ไม่มีใครนึกถึงมาก่อน เป็นการจับคู่ระหว่างของ 2 อย่าง 2 สไตล์ที่แตกต่างกัน เอามารวมอยู่ในร้านเดียวกัน ทำให้ร้านเรา กลายเป็นขวัญใจของคนทุกระดับในครอบครัว เราเป็นร้านอาหารที่เข้าไปปุ๊บ ผู้ใหญ่สามารถสั่งเย็นตาโฟ สั่งอาหารไทยกินได้ ส่วนเด็กๆอยากสั่งเบอร์เกอร์ สั่งพิซซ่ากินก็ตามสบาย
วาดฝันในอนาคตไว้ใหญ่โตขนาดไหนคะ
ในฐานะคนดูแลแผนการตลาดและการขยายสาขาทั้งหมด ผมตั้งเป้าไว้ว่าอยากจะขยายสาขาให้ได้ 100 สาขา รวมถึงสาขาในประเทศเพื่อนบ้านที่มีวัฒนธรรมการกินคล้ายกับเรา แต่จะช้าหรือเร็วต้องขึ้นอยู่กับ โอกาสและสภาพเศรษฐกิจด้วย ถ้าเป็นไปได้ในอนาคตก็อยากเปิดร้าน อาหารไทยแบบฟิวชั่น แต่รสชาติต้องไม่ประนีประนอม นี่คือหลักการของเรา สิ่งที่อยากฝากไว้คือ ขอให้คนไทยภูมิใจในอาหารไทย เพราะอาหารของชาติเรามีดีกว่าหลายๆชาติ ครบทุกรส ทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม และเผ็ดร้อน!!
...
ทีมข่าวหน้าสตรี