ผ่านร้อนผ่านหนาวในยุทธจักรมาเกือบ 2 ทศวรรษ จนมาถึงวันนี้ “ตือ-สมบัษร ถิระสาโรช” ออร์แกไนเซอร์มือทองของเมืองไทย พร้อมเต็มร้อยแล้วที่จะ “ให้” ตอบแทนคืนสังคม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่กล้าลุกขึ้นสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

ในพจนานุกรมของ “ป้าตือ” ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้!! แต่กว่าจะตกผลึกทางความคิดจนเป็นกูรูนักสร้างสรรค์ที่มีไอเดียบรรเจิดที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย “ป้าตือ” ก็ใช้เวลาค้นหาตัวเองอยู่หลายปี “ตือเป็นคนลำปาง และไปเรียนต่อสถาปัตย์ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฯเชียงใหม่ ด้วยความเป็นคนต่างจังหวัด พอมาเที่ยวกรุงเทพฯ เห็นเซ็นทรัล ลาดพร้าว รู้สึกตื่นเต้น และบอกตัวเองว่าฉันอยากทำงานที่นี่ ก็เลยแอบเตี่ยมาสมัครงาน ตอนนั้นคุณสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ เป็นคนสัมภาษณ์ เขาถามตือว่าทำอะไรเป็นบ้าง ตือบอกว่าตือทำไม่เป็นหรอกฮะ แต่คิดว่าทำได้ คุณสุทธิธรรมก็รับเข้าทำงานในแผนกวินโดว์ดิสเพลย์ ได้เงินเดือน 3,200 บาท ตือทำได้ 2 ปี ก็ถึงจุดอิ่มตัว เลยไปสมัครงานทำโฆษณาอยู่กับลีโอเบอร์เนทท์ ทำด้านโปรดักชั่นดีไซน์สื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหมด เผลอแป๊บเดียวก็อยู่ไป 10 ปี พอทำงานถึงจุดหนึ่ง รู้สึกว่าอยากทำอะไรเป็นของตัวเองบ้าง เลยไปบอกเจ้านายว่าขอลาออกมาทำบริษัทโปรดักชั่นดีไซน์เพื่อซัพพอร์ตวงการโฆษณา ที่จริงจะตั้งชื่อว่า บริษัท ตือ ไม่จำกัด แต่ไปจดทะเบียนบริษัท เขาไม่ให้ใช้คำว่าไม่จำกัด เลยต้องเปลี่ยนเป็น บริษัท ตือ จำกัด งานแรกที่ทำคือทำแฟชั่นโชว์ให้ห้องเสื้อเมตตา ตือไม่เคยทำแฟชั่นโชว์มาก่อน เลยไปปรึกษา “พี่กุ๊กกี้-ทินกร อัศวรักษ์” ตั้งแต่นั้นมาตือก็นับถือพี่กุ๊กกี้เป็นครู ทั้งในเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิต”

...

ตอนเปิด “บริษัท ตือ จำกัด” ใหม่ๆ ประสบ ความสำเร็จเปรี้ยงปร้างเลยไหม

จำได้ว่าปีนั้นเป็นปี 2540 เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งพอดี แต่ตือเป็นคนไม่กลัวอะไร เราอยากเปิดบริษัทก็เปิดเลย จะต้มยำกุ้งหรือไม่ต้มยำกุ้งก็ไม่เกี่ยว ตือรู้สึกว่าเราอยากทำอะไรใหม่ๆ เอาประสบการณ์จากการเรียนและการทำงานของเรามาผสมกัน ประกอบกับเราเป็นคนชอบศิลปะและแฟชั่น ก็เลยเอาสิ่งเหล่านี้มาผสมกันเพื่อสร้างงานออกมา ตอนแรกๆมีทีมงานไม่ถึง 5 คน งานแรกของตือคือจัดแฟชั่นโชว์ให้ห้องเสื้อเมตตา ปรากฏว่าคนก็ชอบกัน ตอนนั้นตือทำแบบมินิมัลที่สุด ทำด้วยความไม่รู้เรื่อง ปรากฏว่าคนชอบ มีคนเรียกให้ไปทำงานอีกเรื่อยๆ มีทั้งงานเปิดตัวสินค้า และงานเปิดตัวคอลเลกชั่น ตือก็ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองมาตลอด

สไตล์ของป้าตือโดดเด่นมีเอกลักษณ์แตกต่างจากคนอื่นยังไง

งานทุกงานตือจะใช้การทดลองเอา เราเล่นกับไลฟ์สไตล์ของคนมากที่สุด มันเลยกลายเป็นว่างานที่เราทำเป็นงานป็อปขึ้นมา คนส่วนใหญ่ชอบกัน งานของตือมีความสดใหม่ เราเอาเรื่องของแฟชั่น ศิลปะ และไลฟ์สไตล์มาผสมกันหมด ซึ่งยังไม่ค่อยมีใครทำ มันเลยเกิดความแปลกใหม่ ตือใช้ความรู้พื้นฐานผสมกับรสนิยมส่วนตัว

...

อะไรคือสูตรลับความสำเร็จในการจัดงานอีเวนต์ของป้าตือ

บอกตรงๆว่าการจัดงานอีเวนต์ไม่มีสูตรลับตายตัว มันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละงานจะทำหน้าที่อะไรในเวลานั้น เมื่อหมดเวลาปั๊บมันก็จบ ไทม์มิ่งกับงานมันต้องไปด้วยกัน มันเป็นงานทดลองไม่รู้จบ ที่สำคัญต้องจับคอนเซปต์ให้ได้

เวลาได้โจทย์จากลูกค้า ป้าตือตีโจทย์ยังไงให้เปรี้ยง

ง่ายสุดเลยคือตือจะตีโจทย์สินค้าเป็นคน จะคิดเลยว่าคนคนนี้เป็นใคร นิสัยยังไง ชอบกินอะไร ใช้ชีวิตแบบไหน ชอบอะไรไม่ชอบอะไร มุมมองของเขาเป็นยังไง เขาจะแต่งตัวยังไง เขาจะเป็นแบบไหน แล้วมันจะง่ายกับการสื่อสาร ที่สำคัญคือทาร์เก็ตกรุ๊ป เราจะพูดกับใคร ทุกครั้งที่จัดงาน ตือจะคิดเสมอว่า ถ้าเรามางานนี้เราอยากเห็นอะไร ตือควรจะพูดอะไรทำอะไร มันเป็นสูตรง่ายๆ

...

จริงไหมคะ ป้าตือเป็นออร์แกไนเซอร์ราคาแพงที่สุดในเมืองไทย

ก็จริงนะฮะ แต่ต้องบอกเลยว่าตือทำตั้งแต่งานฟรีจนถึงแพง แต่ตือไม่เคยเอาเงินเป็นตัววัดเลย!! คนจะชอบพูดว่างานของตือแพงๆๆ ตือจะบอกเสมอว่าคุณอย่าคิดว่ามันแพงหรือถูกเลย การทำงานมันอยู่ที่ผลตอบรับสุดท้ายของงานคุณแฮปปี้หรือเปล่า การจะบอกว่าตือแพงหรือถูกกว่าใคร ตือไม่เคยให้ความสำคัญตรงนั้นจริงๆ การทำงานของตือไม่ได้เอาเงินเป็นที่ตั้ง แต่จะเอาผลงานเป็นที่ตั้ง งานบางงานใช้เงินน้อยแต่ผลตอบรับมากก็มี คนอาจจะเห็นจากโลกภายนอกว่าตือเป็นคนชอบแต่งตัวชอบใช้ของดีๆ ก็เลยรู้สึกว่าเราแพง แต่จริงๆแล้วเราเป็นคนปกติธรรมดา ต้นทุนของการทำงานคือความจริงใจ กำไรที่ได้ไม่ใช่เงิน แต่กำไรคือได้ใจคน นี่คือสิ่งที่ตือยึดถือในการทำธุรกิจทุกวันนี้

ป้าตือมาไกลถึงจุดที่ใฝ่ฝันไว้หรือยัง

สมัยเด็กตืออาจจะคิดว่าเงินสำคัญที่สุดในชีวิต ตืออยากมีเงินอยากมีชื่อเสียง ถึงได้เข้ากรุงเทพฯมาหางานทำ แต่วันนี้บทสรุปของตือที่ได้คือ เงินเป็นแค่เครื่องอำนวยความสะดวกสบายในชีวิตตือ แต่มันไม่ได้เป็นความสุข แท้จริง ความสุขแท้จริงคือ ตือได้สร้างผลงานดีๆ และได้ลูกค้ามาเป็นเพื่อน ได้มีความสุขกับการทำงาน ถ้าพรุ่งนี้ตือตายไปก็คุ้มแล้ว!! ตือคิดแบบนี้จริงๆ เงินที่ได้มา ชื่อเสียงที่ได้มา เราต้องขอบคุณสังคมที่ให้สิ่งดีๆกับเรา

...

ป้าตือมีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนคืนสังคมหรือยัง

ตือก็ทำมานานแล้วนะฮะ ตือเป็นอาจารย์พิเศษสอนตามมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว สอนตั้งแต่ปริญญาตรี ถึงปริญญาเอก จะสอนเรื่องการสร้างงานดีไซน์ การสร้างคอนเซปต์ สิ่งที่ตือทำไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย แต่สมัยนี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มมีคณะที่สอนเกี่ยวกับงานอีเวนต์แล้ว ก็ดีใจที่เราเป็นคนจุดประกาย ตือเริ่มผันตัวเองไปเป็นที่ปรึกษาให้โครงการช่วยเหลือคนภาคเหนือสร้างอาชีพและพัฒนาสินค้า ล่าสุด ยังรวบรวมผลงานทั้งหมดของตือมาพิมพ์เป็นหนังสือโฟโต้บุ๊ก “TUE” ด้วยทุนของตัวเอง ตือไม่ขายนะฮะ แต่ตั้งใจแจกให้นักศึกษาและห้องสมุดทั่วประเทศได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

โลกเปลี่ยนไปเร็วมาก ทำยังไงป้าตือถึงไม่กลายเป็นไดโนเสาร์ตกยุค

ถ้าถามตือตรงๆการที่โลกไปเร็ว เราก็ต้องรู้โลก อาชีพตือต้องเห็นก่อนว่าโลกไปทางไหน จะมาจัดงานวันต่อวันมันคงไม่ได้ ต้องตีให้แตกว่าพฤติกรรมของคนตอนนี้เป็นยังไง พฤติกรรมของโลกตอนนี้เป็นยังไง เราเห็นอะไรในโลกใบนี้ก็ต้องนำมาประกอบร่าง ตือเป็นนักฉวยโอกาสนะ ตือฉวยโอกาสนำสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้มารวมกันสร้างเป็นผลงานของตือ เพราะเราไม่ได้มาสายอัจฉริยะ เรามาสายนักฉวยโอกาสยำทุกอย่างเข้าด้วยกัน งานทุกงานมีอายุของมัน และมีหน้าที่ของตัวเองในเวลานั้น พอหมดเวลาปั๊บ เค้าก็จะกลายเป็นเรื่องเก่า แล้วก็มีเรื่องใหม่เข้ามา ถ้างานนี้ตอบโจทย์ในเวลานั้น แล้วทำให้เกิดการค้าขายขึ้น เกิดการหมุนเวียนเรื่องเงินขึ้น อันนั้นคือความสำเร็จของเรา ตือไม่ต้องการให้คนชมว่างานสวยจัดงานดี แต่ตืออยากให้คนชมว่างานนี้เสื้อผ้าสวย สินค้าดี แล้วเทิร์นกลับมาเป็นธุรกิจ

อีก 5 ปีข้างหน้า โลกจะเปลี่ยนแปลงไปทิศทางไหน

ทุกอย่างจะไดเร็กมากกว่านี้อีก คนจะเสพทุกอย่างในแบบอินดิวิดัลมากขึ้น คนจะอยู่ในโลกของตัวเองมากขึ้น แต่ทำยังไงเราจะเดินเข้าไปหาเขาได้ตรง อีกหน่อยโลกในอนาคตจะไม่โกแมสแล้ว กำลังซื้อของคนมันจะไม่เป็นอะไรที่เราต้องหว่านแล้ว พูดกันตรงๆบอกกันตรงๆซื้อขายกันตรงๆ ทุกอย่างต้องเทเลอร์เมดเท่านั้นถึงจะอยู่ได้

จริงไหมป้าตือสามารถชี้เป็นชี้ตายคนในวงการได้

ไม่กล้าพูดคำนั้น แต่อาจจะเพราะตือรู้จักคนเยอะ มีเพื่อนฝูงในวงการเยอะ ถ้าเห็นศักยภาพใคร ก็อาจจะโทร.ไปบอกเพื่อนฝูง การผลักดันไม่ได้เกิดจากตือคนเดียว แต่ทุกคนในวงการช่วยกันผลักดัน หลายคนอาจจะจุดประกายมาจากตือ แล้วตือก็ใช้คอนเนกชั่นผลักดันต่อ ถ้าเขาเป็นของดีจริงก็อยู่ยาว แต่ถ้าเขาเป็นของไม่ดีเดี๋ยวก็ดับ

ทำยังไงป้าตือถึงอยู่ยงคงกระพันได้นานขนาดนี้

ความขยันความอดทน การไม่หยุดอยู่กับที่ เหมือนกับเราเป็นคนเรียนรู้ตลอดเวลา การอยากรู้อยากเห็น การเปิดรับสิ่งใหม่ๆทำให้เรามีทุกวันนี้ พอเสร็จงานหนึ่งปั๊บ ตือจะไม่มองงานเก่าเลย แต่จะมองไปข้างหน้า ทุกวันนี้ตือมีความสุขกับการทำงาน ได้สร้างคนรุ่นใหม่ สร้างทีมงานขึ้นมา ให้สามารถทำงานต่อไปได้ แต่ตือไม่ได้สร้างตือ 2-3-4 นะฮะ ตือสร้างให้เขาเป็นตัวของตัวเอง เพราะบริษัทต้องขับเคลื่อนต่อไปโดยคนรุ่นใหม่ แต่จะให้ทุกคนมาเหมือนเรา ตือไม่ต้องการ ตืออยากให้เขาทำในสิ่งที่เขาเป็น และเขามีตัวตนของตัวเอง บริษัทตือก็ทำงานลักษณะนี้แล้ว คือตือจะเป็นคนเปิด มาเสริมตรงกลาง แล้วมาช่วยปิด สมัยก่อนตือเป็นคนโลกส่วนตัวสูง เป็นคนเรื่องเยอะ เป็นคนดีเทล เป็นคนจุกจิก และวุ่นวายกับทุกเรื่อง ไม่เคยไว้ใจใคร เป็นคนวี๊ด แต่แล้ววันหนึ่งลูกน้องตือมาบอกว่ามะม่วงสุกมันมีวิธีปลูกไม่เหมือนกันนะ ตือเลยรู้สึกว่าลูกน้องคนนี้เก่งมากที่กล้าพูด และตือก็จำสิ่งนี้มาถึงทุกวันนี้ ตือรู้สึกว่ามันคือความจริง มันทำให้ตือปล่อยวางทุกอย่างได้สบายๆตั้งแต่วันนั้น เพราะสุดท้ายมันไม่ได้เกิดความเสียหายอย่างที่คิด การปลูกมะม่วงสุกอยู่ที่เราจะรดน้ำพรวนดินยังไง ทุกอย่างมันจะสุขจะทุกข์อยู่ที่ตัวเราจริงๆ ตือเลยเลือกที่จะไม่มีสิ่งไม่ดีอยู่ในหัวตือ หัวตือจะต้องโล่ง ของไม่ดีของเน่าๆตือเอาออกทิ้งไปหมด

“ถ้าพรุ่งนี้โลกแตกชีวิตของตือก็คุ้มแล้ว หน้าที่ของเราตอนนี้คือทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นกับสังคม ทำให้คนรอบข้างมีความสุข ตือรู้สึกว่าทำทุกอย่างไม่ใช่เพื่อตัวเองแล้ว แต่เราทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ ตืออยากทำให้คนทั้งโลกเห็นว่านี่คือผลงานสร้างสรรค์ของคนไทย”.

ทีมข่าวหน้าสตรี