ดร.ซุนยัดเซน บิดาแห่งประชาธิปไตยจีน  เขาเป็นผู้ปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครองจีน จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย และ เคยมาอยู่ในเมืองไทย จนมีซอยที่ชื่อว่าซุนยัดเซน...

ฮ่องกงในยุคของซุนยัดเซ็น (ภาพจาก Bodyguards and Assassins)

สำหรับ ท่านผู้อ่านที่ชอบเดินลัดเลาะเมืองกรุง โดยเฉพาะในย่านเยาวราช อาจจะเคยเห็นซอยซอยหนึ่ง ที่มีชื่อว่า "ซอยซุนยัดเซ็น" บริเวณปากซอยยังมีซุ้มซุนยัดเซ็นด้วย ก็อาจจะทำให้เกิดความสงสัยว่า ทำไมชื่อของอดีตประธานาธิบดี ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยของจีนถึงมาอยู่ในไชน่าทาวน์ของไทยได้



ดร.ซุนยัดเซ็น

คำ ตอบก็เป็นเพราะว่า ดร.ซุนยัดเซ็น เคยข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่ในช่วงที่พยายามปลุกระดมชาวจีนทั้งมวล ทั้งในประเทศและชาวจีนโพ้นทะเล ให้ลุกขึ้นมาร่วมกันปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ชิง อัน เป็นราชวงศ์ที่มาจากชาวแมนจู มิใช่ชาวจีนโดยแท้ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตยในที่สุด

ช่วงที่ ดร.ซุนมาเมืองไทย มักจะมาพบปะชาวจีนในย่านเยาวราช ทั้งเพื่อขอระดมทุน และเปิดการปราศรัยใหญ่อยู่หลายคราว จนบริเวณหนึ่งถูกตั้งชื่อว่าถนนปาฐกถา เนื่องจากเป็นสถานที่ซึ่ง ดร.ซุนได้มา "ไฮด์ปาร์ก" ที่นี่ ส่วนบ้านที่ ดร.ซุนเคยมาพัก เดิมเป็นร้านขายยา ชื่อไต้อันตึ๊ง ในซอยผลิตผล ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา ชาวชุมชนในซอยก็ได้พร้อมใจกันสร้างซุ้มซุนยัดเซ็นขึ้น ซึ่งบนยอดซุ้มมีชื่อซอยผลิตผล และวงเล็บว่า ซุนยัดเซ็น เพื่อเป็นการรำลึกถึงประวัติศาสตร์ที่ชาวจีนในไทยได้มีโอกาสต้อนรับ และร่วมขบวนการโค่นอำนาจของพระนางซูสีไทเฮาที่เป็นเงาทะมึนอยู่เบื้องหลัง ฮ่องเต้ต้าชิง



ดร.ซุนยัดเซ็น และครอบครัว (แถวหลัง คนที่ 5 จากซ้าย)

แล้ว ดร.ซุนยัดเซ็นผู้นี้สำคัญอย่างไร ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานต่วย'ตูน ขออาสาพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับหนึ่งในผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหา บุรุษแห่งแดนมังกร

ในวัยเยาว์ เด็กชายซุน ซึ่งเกิดวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ.1866 ถือได้ว่าเป็นลูกคนจนคนหนึ่งในครอบครัวชาวนาที่มีลูกตั้ง 5 คน แต่ด้วยความที่น้องซุนคนเล็กเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด มีสติปัญญาเกินพี่น้อง พ่อแม่ก็เลยพยายามส่งเสียให้ได้ร่ำเรียนมากกว่าคนอื่นๆ

ในช่วงวัย รุ่นก่อนจะเป็นหนุ่ม น้องเล็กของบ้านตระกูลซุนได้โอกาสลงเรือข้ามมหาสมุทรไปอาศัยอยู่ที่อเมริกา กับพี่ชาย ทำให้ได้รับการศึกษาที่ดียิ่งขึ้น มีความสามารถในภาษาอังกฤษอย่างแตกฉาน และนั่นก็กลายเป็นการเพาะบ่มความรู้สำคัญให้พ่อหนุ่มต่อมาในอนาคต เนื่องจากได้อ่านหนังสือดีๆเกี่ยวกับการปกครองจากต่างประเทศ

พอเป็น หนุ่มเต็มตัว ซุนกลับมาบ้านเกิด และเข้าเรียนวิชาแพทย์ที่ฮ่องกง จนสำเร็จการศึกษาเป็นคุณหมอซุนที่ออกตระเวนรักษาคนไข้แบบไม่เลือกชั้นวรรณะ แถมบางทีหากเจอคนไข้จนๆก็รักษาฟรีไม่เอาสตางค์ ทำให้หมอซุนเป็นที่นับถือของชาวบ้านจำนวนมาก และระหว่างที่ทำงานด้านการแพทย์นั่นเอง ที่หมอซุนได้เห็นถึงปัญหาของประเทศ คนยากก็จนหนัก ในขณะที่เหล่านายทุนก็รวยเอาๆ คุณหมอจึงเกิดความคิดอ่านด้านการเมือง และมีความปรารถนาที่จะปฏิวัติระบอบการปกครองประเทศเสียใหม่ เพราะเห็นว่า การปกครองโดยราชวงศ์แมนจูนั้น มีแต่จะนำความเสื่อมโทรมมาสู่ประเทศ ไม่เหมือนชาติอื่นๆที่เจริญขึ้นมาได้ด้วยประชาธิปไตย



พระนางซูสีไทเฮา

นับ แต่นั้น คุณหมอหนุ่มก็ไม่เพียงแต่จะออกรักษาผู้คนเท่านั้น แต่ยังพยายามพูดจาโน้มน้าวหาพรรคพวก เพื่อเชิญชวนให้มาร่วมกันเป็นหัวหอกประชาธิปไตย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องยากพอดู เพราะคนจีนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ด้วยความอุตสาหะพยายาม ดร.ซุนก็มีสมัครพรรคพวกมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถตั้งเป็นกลุ่มทางการเมือง เกิดเป็นพรรคก๊กมินตั๋งที่ขยายเครือข่ายไปทั่วประเทศ ทำเอาพระนางซูสีไทเฮาทรงกริ้ว ควันออกหู และเริ่มจับกุมกวาดล้างเครือข่ายของ ดร.ซุน ซึ่งก็ตัดสินใจนำพวกเข้าก่อการปฏิวัติ หวังโค่นล้มราชวงศ์ชิง แต่การปฏิวัติครั้งแรกใน ค.ศ.1895 ซึ่ง ดร.ซุนยังอายุไม่เต็ม 30 ปีดี ก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า แกนนำหลายคนถูกประหารชีวิต ส่วน ดร.ซุนเองที่หนีการจับกุมมาได้ก็ต้องระเห็จออกไปนอกประเทศ แต่ก็ไม่ใช่การลี้ภัยการเมืองที่สูญเปล่า เพราะในช่วงที่ต้องตระเวนไปตามประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฯลฯ ดร.ซุนก็ได้พยายามหาแนวร่วมอยู่เรื่อยๆ ทั้งจากชาวจีนโพ้นทะเล และจากรัฐบาลนานาชาติ

และดังได้กล่าวแล้วว่า ดร.ซุนได้เดินทางมายังประเทศไทยด้วย ก็ในช่วงนี้นี่เอง

การ เดินทางไปปลุกระดมชาวจีนในหลายประเทศของ ดร.ซุนเป็นที่ขัดเคืองแก่พระนางซูสีไทเฮาเป็นอย่างมาก จนมีข่าวออกมาว่า ดร.ซุนถูกคนพยายามลอบสังหารหลายครั้งในหลายเมือง และมีผู้นำเอาช่วงชีวิตอันระหกระเหินของคุณหมอหัวปฏิวัติไปเติมต่อจินตนาการ สร้างเป็นละครและภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง อย่างล่าสุด ที่เห็นก็คือ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของปีนี้เรื่อง "Bodyguards and Assassins ห้าพยัคฆ์พิทักษ์ซุนยัดเซ็น" ที่ผู้กำกับสร้างเรื่องราวให้ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1905 ซึ่ง ดร.ซุนไประดมทุนในฮ่องกง และถูกล่าสังหาร แต่ก็มีขุมกำลังลับอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อจะปกป้องเขา เพื่อให้มีชีวิตรอดออกไปปลุกเร้าชาวจีนนานาประเทศอีกหลายล้านคนต่อไป



จักรพรรดิปูยีประทับยืนอยู่ข้างพระบิดา ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการ.


ระหว่าง ที่ ดร.ซุนกลายเป็นนักปฏิวัติผู้ถูกหมายหัวนั้นเอง ข่าวดีของคณะปฏิวัติก็มาถึง เมื่อพระนางซูสีไทเฮาที่กุมอำนาจมานานสิ้นพระชนม์ลงใน ค.ศ.1908 เหลือไว้เพียงยุวกษัตริย์ พระเจ้าปูยี วัย 2 พรรษา ที่กลายมาเป็นฮ่องเต้พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์แมนจู โดยมีหยวนซื่อไข่เป็นผู้คุมกำลังทหารที่สำคัญ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ หยวนซื่อไข่เป็นชาวจีนแท้เพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จในการรับราชการ อยู่กับแมนจู จุดนี้นี่เองที่ทำให้ ดร.ซุนยัดเซ็นมีความหวังว่าผู้บัญชาการทหารจีนแท้คนนี้ อาจจะช่วยให้การปฏิวัติเป็นผลสำเร็จ จึงได้ติดต่อกันอย่างลับๆ แต่พวกแมนจูก็ระแคะระคาย จนทำให้หยวนซื่อไข่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง

แต่ แนวคิดปฏิวัติก็ไม่จางหาย เมื่อการปกครองประเทศไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่จะสาละวันเตี้ยลงๆ ทำให้ประชาชนในหลายพื้นที่เริ่มก่อการจลาจล และประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของแมนจู ในช่วงนี้เองที่ ดร.ซุนถือเป็นฤกษ์งามยามดี กลับเข้ามายังแผ่นดินแม่ และสามารถสร้างขุมกำลังอันแน่นหนาขึ้นมาได้ในภาคใต้ ส่วนภาคเหนือของจีนนั้น ราชวงศ์แมนจูยังตรึงอำนาจได้อยู่ และมีการเรียกตัวหยวนซื่อไข่ให้กลับมาคุมกองทัพ   โดยไม่รู้เลยว่าเป็นการเริ่มต้นของจุดจบที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อ ดร.ซุนดอดตีท้ายครัว เข้าเจรจากับหยวนซื่อไข่ ว่าแล้ว จากการร่วมมือของ 2 บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ราชวงศ์แมนจูก็ถึงกาลล่มสลาย ปิดฉากการปกครองที่ยืนยาวนานมา 268 ปีลง และหยวนซื่อไข่ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศจีนยุคใหม่ตามที่ ดร.ซุนยัดเซ็นหลีกทางให้



หยวนซื่อไข่

แต่ หยวนซื่อไข่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้มักใหญ่ ใฝ่สูงนั้น ไม่พอใจกับการเป็นเพียงประธานาธิบดี แต่อยากจะสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้เสียเอง ทำให้อีกไม่นานต่อมา ดร.ซุนยัดเซ็นก็เปิดฉากก่อการปฏิวัติขึ้นอีก แต่ไหนเลยจะสู้กำลังทหารของหยวนซื่อไข่ได้ งานนี้เข้าอีหรอบเดิม คุณหมอพ่ายขุนทหาร และต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองอีกครั้ง แต่ก็สามารถกลับเข้ามาอีกด้วยแรงสนับสนุนมากกว่าเก่า และกดดันให้หยวนซื่อไข่ลงจากอำนาจได้ในที่สุด

ค.ศ.1912 ดร.ซุนยัดเซ็นได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ยังได้การยอมรับเฉพาะในเขตภาคใต้เท่านั้น ส่วนพวกทางเหนือยังคงแตกแยก ไม่สามารถรวมชาติได้อย่างเป็นปึกแผ่น ในขณะที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายตัวเข้ามาเรื่อยๆ จน ดร.ซุนถึงแก่อสัญกรรมในอีก 14 ปีต่อมา ก็ยังถือได้ว่า ดร.ซุนยัดเซ็นยังไม่ประสบความสำเร็จในการรวมชาติ และก่อร่างสร้างประชาธิปไตยอย่างได้ผล แต่การต่อสู้อันยาวนานของ ดร.ซุนก็เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้เปิดศักราชแห่งจีนยุคใหม่ ที่ออกมาจากเงื้อมเงาของราชวงศ์แมนจู คนต่างด้าวที่มาปกครองประเทศเกือบ 300 ปี และได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยจีน หรือบางคนก็บอกว่าเป็นบิดาแห่งจีนยุคใหม่ที่ผู้คนนับถือมาจนปัจจุบัน.



สุสาน ดร.ซุนยัดเซ็น ที่เมืองนานกิง.


ทีมงานต่วย'ตูน

...