สังเกตว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา วงการหนังบ้านเราชักจะเกิดปรากฏการณ์ “หนังรักฟีเวอร์” รุนแรงขึ้นทุกที เพราะเห็นโปรแกรมหนังที่เข้าฉายในรอบปีที่ผ่านมา และที่กำลังรอจ่อคิวเข้าฉายอยู่อีกเป็นขบวน ก็หนีไม่พ้นจุดขายเดิมๆ นั่น คือ เรื่องราวของความรัก แตกต่างกันเพียงแต่ว่าใครจะผูกปมความรักในแง่ไหน วัยใด และเป็นความรักแบบพรหมลิขิต รักแรกพบ หรือรักระหว่างเพื่อน..

October Sonata รักนี้ที่รอคอย ก็เป็นหนังรักอีกเรื่องหนึ่งจาก เอ็นจีอาร์ ที่กำลังจ่อคิวจะเข้าโรงให้ผู้ชมพิสูจน์รักแท้ที่รอคอย กับรักแท้ที่อยู่ตรงหน้าในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ดูจากทีเซอร์หนังแล้วเดาได้ไม่ยากว่าพล็อตเรื่องคงหนีไม่พ้นเรื่องราวของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่มีความรักต่อกัน แต่ต้องประสบพบเจออุปสรรคบางอย่างที่ทำให้ไม่สมหวัง และต้องรอคอยกันไป แต่ใช่ว่าความรักจะเป็นเรื่องของคนสองคนเสมอไป เพราะถ้าเป็นแบบนั้น หนังเรื่องนี้คงจบลงอย่างง่ายดาย แต่เป็นเพราะความรักบางครั้งก็มีบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนกลายเป็นปมให้ตัดสินใจว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป

สรุปง่ายๆ คือ ด้วยตัวพล็อตเรื่องของหนังในแวบแรกที่เห็นดูไม่โดดเด่น เป็นม้าชั้นดี แต่เพราะประโยคหนึ่งของผู้สร้างหนังสาวแกร่งอย่าง ณภัทร ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม ผู้อำนวยการสร้าง ที่เคยอวดผลงานทั้งจอเงินจอแก้วมานับไม่ถ้วน อาทิ มะหมา 4 ขาครับ คริตกะจ๋า ละครหน้าต่างบานแรก อยู่กับก๋ง ฯลฯ ถึงกับการันตีแทบทุกครั้งที่ออกสื่อว่า หนังเรื่องนี้จะสร้างปรากฏการณ์แห่งความประทับใจไปอีกนานแสนนาน

คำว่า “ปรากฏการณ์” นั้นฟังดูอาจเป็นคำสวยหรูคำหนึ่ง แต่ถ้ามองลึกลงไปที่ความหมายแล้วกลับเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยด้วยเหตุนี้ “ไทยรัฐออนไลน์” จึงไม่พลาดมาไขปริศนา “ปรากฏการณ์แห่งความประทับใจ” กับผู้อำนวยการสร้างมาดดุ แบบตัวต่อตัว



ทำไมถึงบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสร้าง “ปรากฏการณ์แห่งความประทับใจ”?

แน่นอน และขอย้ำว่านี่จะเป็นภาพยนตร์รักที่จะสร้างปรากฏการณ์แห่งความประทับใจไปอีกนานแสนนาน ที่มั่นใจ เพราะจะสังเกตว่าบ้านเราไม่มีหนังแนวพีเรียดร่วมสมัยมานานแล้ว ที่ผ่านมาดังๆ ก็มี เดอะเลทเตอร์ แฟนฉัน โหมโรง ที่ชูเรื่องของความรักที่ซาบซึ้ง ความทรงจำ และคุณค่าของวัฒนธรรมไทย เช่นเดียวกับ October Sonata รักนี้ที่รอคอย  พี่ไม่ปฏิเสธว่าหนังเรื่องนี้มีกลิ่นอายของความเป็นพีเรียด แต่ไม่ใช่พีเรียดจ๋า ไม่ใช่หนังอาร์ตหรืออินดี้ ทุนต่ำ แต่มันคือหนังไทยดีๆเรื่องหนึ่งที่ได้มาตรฐาน ไม่ดูถูกคนดู เดินเรื่องด้วยบท ทำให้หนังสนุก มีความซับซ้อน ที่จะมาเฉลยตอนจบ รับรองว่าเดาไม่ถูก ผู้ชมต้องใจจดใจจ่อที่จะดู

ทำไมต้อง October Sonata รักนี้ที่รอคอย ทั้งที่หนังเข้าฉายเดือนธันวาคม?


เป็นคำถามที่ทุกคนถาม งั้นขอถามกลับว่าความรักมันจำกัดหรือว่าต้องเกิดเดือนไหน ต้องเกิดเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน หรือว่าช่วงคริสตมาส ส่วนทำไมต้องเป็น October Sonata  เพราะว่าเหตุการณ์สำคัญของหนังเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม และเป็นเดือนที่ รวี (โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) สัญญาว่าจะมาพบกับแสงจันทร์ (ก้อย-รัชวิน วงศ์วิริยะ) ส่วนคำว่า Sonata หมายถึง ท่วงทำนองเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีน้อยชิ้น 1-2 ชิ้น พอเอามารวมกันก็เลยแปลว่า เรื่องราวของความรักที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ซึ่งเปรียบได้กับทำนองเพลงโดยเครื่องดนตรีน้อยชิ้น

อะไรทำให้เลือกเดือนตุลาคมในการดำเนินเรื่อง?


เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังย้อนไปยุคที่พระเอกขวัญใจคนไทยทั้งประเทศ มิตรชัย บัญชา เสียชีวิต ซึ่งตรงกับวันที่ 8 ต.ค. 2513 สาเหตุที่เลือกเหตุการณ์นั้น เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่หลายคนอยากรู้นะเกี่ยวกับอุบัติเหตุในครั้งนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น ประกอบกับเรื่องราวในปีต่อๆ มา ในเดือนตุลาคมก็มีเหตุการณ์เตือนใจบางอย่างเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ต.ค. หรือ 6 ต.ค. เพื่อเอามาเป็นสีสันในหนัง แต่ถ้าใครคิดว่าจะได้เข้ามาดูสารคดีเรื่องหนึ่งต้องบอกว่าคิดผิด หรือหลายคนอาจจะคิดว่า ทำไมไม่ทำให้เป็นหนังอนาคตแล้วมองย้อนมาสู่ปัจจุบัน คำตอบง่ายมาก คือ ระยะเวลาเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้กินเวลาเป็น 10 ปี ดังนั้นพี่ก็ต้องเล่าเรื่องไปถึงปี 2012 โลกแตกแล้วอะ(หัวเราะ) ที่สำคัญเราไม่รู้ว่าเทรนด์แฟชั่นในยุคนั้นมันไปถึงไหนแล้ว แฟชั่นอาจจะเปลี่ยนเป็นแบบใส่เสื้อกลับหน้ากลับหลังก็ได้ เราตามไม่ทัน แต่ถ้าเราทำหนังย้อนไปในยุค 13 ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองกำลังรับอารยธรรมตะวันตก เป็นโมเดิร์นไนท์ เริ่มมีโรงแรม ไนท์คลับ บ้านเมืองมีความสุข เสื้อผ้าไม่หวือหวามาก เป็นแนวซิกตี้-เซเว่นตี้ มันน่าจะดีกว่า เราแต่งความสวยงามเข้าไปได้เต็มที่มันน่าจะดีกว่า

เห็นว่าบทเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นมานานแล้ว แต่ทำไมเพิ่งเอามาทำ?

บทหนังเรื่องนี้ คนในวงการรู้กันมานานแล้ว เพราะมันถูกเขียนมาเป็นสิบปีแล้ว และยังถูกปรับมาไม่รู้กี่ร่างต่อกี่ร่างโดย สมเกียรติ วิทุรานิช ผู้กำกับเรื่อง October Sonata กระทั่งมาถึงมือพี่ เพราะลูกยุจากเพื่อนๆในวงการที่เห็นว่ามันเหมาะกับพี่  แต่ตอนแรกพี่ไม่ได้สนใจเพราะมัวสนใจแต่เรื่องมะหมา จนกระทั่งต่อมาทนลูกยุจากเพื่อนๆไม่ไหว ก็เลยลองให้เอาบทมาดู ปรากฏว่าแค่อ่านเรื่องย่อสั้นๆ ไม่กี่หน้าก็ชอบแล้วอะ เลยเรียกให้เอาบทเต็มๆ มาให้ดู พอยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบ ก็เลยเริ่มคุยกับสมเกียรติ ฟอร์มทีมงาน หาโลเกชั่น กระทั่งตกลงกับว่าจะทำเป็นหนังแนวร่วมสมัย และออกมาเป็น October Sonata รักนี้ที่รอคอย ฉบับสมบูรณ์ แบบที่เห็น

October Sonata รักนี้ที่รอคอย  เป็นหนังรักที่ทำให้ต้องร้องไห้หรือไม่?

แน่นอน หนังรักทำให้ผู้ชมร้องไห้ได้ โดยมีเหตุผล 2 ประการ คือร้องด้วยความปีติ สงสาร เห็นใจ หรือร้องด้วยความเศร้า แต่พี่คิดว่าหนังเรื่องนี้ผู้ชมอาจจะร้องไห้ แต่ไม่ถึงกับฟูมฟายนำ แต่ร้องด้วยความรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเลย หรือสงสารนางเอก อยากตัดสินใจแทน หรืออาจจะเห็นใจที่นางเอกต้องเลือกระหว่างรักแท้ที่รอคอย กับรักแท้ที่อยู่ตรงหน้า

อย่างไรก็ตาม พี่ยังเชื่อเสมอว่า ความรักไม่เคยทำร้ายใคร  แต่ใจเราต่างหากที่ทำร้ายตัวเอง เพราะถ้าคุณบอกว่าความรักไม่ดี แล้วทำไมทุกคนยังอยากมีรัก  แต่ที่คนเราทุกข์กับความรัก เพราะเราไปคาดหวังมันเอง รักเขาก็คิดว่าเขาต้องรักตอบ 

อยากบอกอะไรกับผู้ชมที่มาดูหนังเรื่องนี้ ?

หนังเรื่องนี้ จะทำให้คนที่มาดู ดูแล้วได้ความรู้สึกดีๆกลับไป ได้แง่คิดในการปรับเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น เพราะพี่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิตเรา ถ้าเราตัดสินใจอะไรลงไป มันอาจจะเปลี่ยนทั้งชีวิตของเราได้เลย ที่สำคัญเชื่อว่าคนดูดูแล้วจะได้คำตอบบางอย่างที่เคยถามตัวเองว่าทำไม ซึ่งแต่ละคนก็จะได้คำตอบไม่เหมือนกัน เพราะชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน

และพี่ก็เชื่อว่าหนังทุกเรื่องไม่มีเรื่องไหนสมบูรณ์แบบ 100%  แต่สำหรับเรื่องนี้ พี่เชื่อว่าความสนุกของหนังเรื่องนี้ จะกลบข้อด้อยเล็กๆ น้อยๆ ของหนังไป  และถึงแม้คนที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อาจจะมีบางส่วนที่ไม่ชอบ แต่พี่เชื่อว่าเขาจะไม่รังเกียจหนังเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่สะท้อนอย่างชัดเจนจากภาพยนตร์นี้ คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจของทีมงานทุกคน

อนาคตบนเส้นทางภาพยนตร์ล่ะ?

อยากทำหนังไปจนตาย พี่รักอาชีพนี้มาก รักมากกว่าคนที่ทำหนังมานานบางคนด้วยซ้ำ ทำไมพูดแบบนี้ เพราะพี่เชื่อว่าคนที่รักอาชีพนี้ต้องไม่ทำลาย ไม่ทำหนังที่ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ เพราะเวลาคนดูหนังไทยแล้วไม่ดี เขาไม่ได้ด่าว่าหนังค่ายไหนเจาะจง แต่เขาด่าและว่าโดยรวมว่าหนังไทยทั้งหมดไม่ดี

จบบทสนทนาตรงนี้ คงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ชมแล้วว่าจะสร้างปรากฏการณ์แห่งความประทับใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตามที่ พี่ณภัทร หมายมั่นหรือไม่ เพราะแต่ละคนก็มีและมุมมองความรักที่ต่างกันไป เดินออกจากโรงภาพยนตร์ครั้งนี้ คุณอาจได้นิยามความรักที่ต่างกันออกไป จนเหมือนไปชมภาพยนตร์คนละเรื่องกับเพื่อนก็ได้…

...