ความรักของบางคน อาจต้องรอคอยไปทั้งชีวิต
สวัสดีตอนใกล้สิ้นปีค่ะ หนาวๆอย่างนี้ ท่านผู้อ่านที่มีคู่รักก็คงมีคน อิงแอบให้คลายหนาว ส่วนคนที่ไม่มีคู่ก็คงถือโอกาสเทศกาลเป็นช่วงสรวลเสเฮฮาได้เต็มที่ แต่ที่แย่กว่าใครเขาเห็นจะเป็นคนที่มีรัก แต่รักนั้นอยู่ห่างไกล...
สวัสดีตอนใกล้สิ้นปีค่ะ หนาวๆอย่างนี้ ท่านผู้อ่านที่มีคู่รักก็คงมีคน อิงแอบให้คลายหนาว ส่วนคนที่ไม่มีคู่ก็คงถือโอกาสเทศกาลเป็นช่วงสรวลเสเฮฮาได้เต็มที่ แต่ที่แย่กว่าใครเขาเห็นจะเป็นคนที่มีรัก แต่รักนั้นอยู่ห่างไกล ทำให้ได้แต่เฝ้ารอ คนกลุ่มนี้จัดเป็นประเภทที่ว่า เทศกาลไหนก็ไม่ค่อยมีความสุข แถมบางทียังอาจจะต้องแอบเหงาที่เห็นใครๆเขาสนุกกัน
และถ้าใครกำลัง เหงา เข้ามาทางนี้เลยค่ะ ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานต่วย'ตูน เข้าใจหัวอกคนมีความรักที่ยังได้แต่รอทุกท่าน เลยสรรหา เรื่องราวเกี่ยวกับการรอคอยมาให้ได้เพลิดเพลินกัน แล้วอาจจะได้รู้ว่าการรอคอยนั้น บางทีก็ไม่ได้มีเพียงความขมขื่น แต่อาจจะชื่นอุราได้เหมือนกัน ถ้าผลของการรอคอยนำมาซึ่ง "รักแท้" ได้ในที่สุด

เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์แห่งราชวงศ์อังกฤษ กับคามิลลา
อันว่าการรอคอยความรักนั้น คงเป็นเรื่องที่มีมานานนับตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ เรานั่นแหละค่ะ ในตำนานที่เก่าแก่ของโลกอย่างตำนานกรีกเอง ก็มีการรอคอย ความรักที่น่าประทับใจ นั่นคือรักของมหาเทพแห่งปรโลก เทพเฮเดส
ใน ความมืดมิดของโลกแห่งความตายนั้น เฮเดสมีราชินีผู้งามสง่า นาม เพอร์เซโฟเน เทพีผู้เป็นธิดาของดีมีเตอร์ เทวนารีแห่งพืชพรรณธัญญาหาร ใน ตอนแรกเฮเดสที่ขึ้นมาจากปรโลกเห็นเพอร์เซโฟเนเข้าก็เกิดหลงในความงาม ของนาง ว่าแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดแจงพานางวิวาห์เหาะลงไปอยู่เป็น ราชินีแห่งปรภพเสียดื้อๆ โดยไม่ได้บอกเล่าเก้าสิบให้เทพีผู้เป็นมารดาได้รับรู้
...
กว่าดีมีเตอร์ จะตั้งตัวได้อีกที ธิดาก็หายไปเสียแล้ว นางจึงได้แต่ทุกข์ ระทม และทำให้ไม่มีเมล็ดพันธุ์ใดในโลกงอกงามได้อีก เกิดความแห้งแล้งหิวโหยไปทั่วโลก จนมหาเทพซุสต้องออกโรงมาแก้ปัญหา ด้วยเทวโองการให้เฮเดสคืนเพอร์เซโฟเนแก่มารดา ซึ่งเฮเดสก็จำใจต้องคืนนางอันเป็นที่รักไปตามเทวบัญชา แต่ก่อนจะส่งกลับ ก็ได้ให้นางกินเมล็ดทับทิมของปรโลกไป 4 เมล็ด และนั่นก็กลายเป็นสัญลักษณ์ว่า แม้เพอร์เซโฟเนจะได้กลับขึ้น ไปอยู่บนโลก เพื่อร่วมกับมารดาทำให้เกิดความสมบูรณ์ของธัญญาหาร แต่ จะมีเวลา 4 เดือนของทุกปี ที่นางจะต้องกลับไปหาเฮเดส และระหว่างนั้นพื้นดินก็จะแห้งแล้ง เหี่ยวเฉา รอจนเพอร์เซโฟเนได้กลับมาบนโลกอีกครั้ง ก็จะถึงเวลาแห่งการผลิดอกออกผลครั้งใหม่ของฤดูใบไม้ผลิ

เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กับเจ้าหญิงไดอานา
ด้านเฮเดส เวลา 4 เดือนในแต่ละปีที่ได้พบหน้าเพอร์เซโฟเน เป็นช่วง เวลาแห่งความสุขอันน้อยนิดของท้าวเธอ ที่ต้องเฝ้ารออยู่ในดินแดนแห่งความตายอันเปล่าเปลี่ยวเกือบตลอดทั้งปี เฮเดสจึงเป็นเทพผู้อ้างว้างและแข็งกระด้าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เวลาแห่งการรอคอยมาถึง เทพผู้อ้างว้างก็จะได้เติมเต็มความรักอีกครั้ง เมื่อเพอร์เซโฟเนลงมาทำให้ปรโลกสว่างไสวไปด้วยความงามของนาง
ออกจาก ตำนานกรีก คราวนี้ขอพาท่านผู้อ่านข้ามมาฝั่งเอเชียของเราบ้าง ที่ดินแดนอาทิตย์อุทัย ไม่มีความรักไหนที่จะเป็นตำนานตราตรึงใจเท่ารักของ เจ้าหญิงทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว อันว่าเจ้าหญิงทอผ้าหรือเจ้าหญิงโอริฮิเมะนั้น เป็นธิดาสุดหวงของเทพแห่งท้องฟ้า นางเป็นเทพีผู้เชี่ยวชาญด้านการทอผ้า ทุกวันจะนั่งทอผ้าอยู่ริมฝั่งแม่นํ้าสวรรค์ หรือที่คนไทยเราเรียกว่าทางช้างเผือก และงานทอผ้าของนาง จะกลายเป็นอาภรณ์ของเหล่าทวยเทพทั้งมวล
ที่อีกฟากหนึ่งของแม่นํ้า มีชายเลี้ยงวัวสวรรค์ นามฮิโกโบชิที่ทำงานหนักไม่ต่างกัน เมื่อทั้งคู่ได้มาพบกัน ก็เกิดตกหลุมรักอย่างลึกซึ้งในทันที ในตอนแรกเหล่าเทพอื่นๆ ก็เห็นพ้องในความรักของทั้งคู่ แต่หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ปัญหาก็เกิดขึ้น เพราะเมื่อคู่รักข้าวใหม่ปลามันทุ่มเทเพื่อกันและกันอย่างเต็มที่ จากที่เคยทำงานได้มีประสิทธิภาพ เจ้าหญิงกลับเลิกทอผ้า ทำให้เหล่าเทพที่เคยได้รับเสื้อผ้างามๆ ก็ไม่ได้สมใจอีก เช่นเดียวกับหนุ่มเลี้ยงวัว ก็ละทิ้งหน้าที่การงาน ปล่อยวัวสวรรค์ไว้เปะปะ ไม่ทำนุบำรุงดีเหมือนเก่า ทำให้เทพ เทพีอื่นๆ พากันยกโขยงไปฟ้องมหาเทพแห่งท้องฟ้า ซึ่งแม้จะตักเตือนคู่หวานนี้ให้หันไปทำการทำงานบ้าง ก็ไม่ค่อยเป็นผล ว่าแล้ว มหาเทพเลยกริ้ว มีเทวบัญชาให้แยกเจ้าหญิงทอผ้าและหนุ่มเลี้ยงวัวไปอยู่คนละฟากของแม่นํ้า ไม่ให้ได้เจอกันอีกเลย

เซอร์โธมัส ซีมัวร์
แต่หลังจากเห็นธิดาร้องไห้รำพันถึงคนรักอยู่นาน เทพแห่งท้องฟ้าจึงตัดสินใจเปิดโอกาสให้เจ้าหญิงและชายหนุ่มได้พบกันปีละ ครั้ง ในวันที่ 7 เดือน 7 ซึ่งในกาลต่อมา คือเทศกาลทานาบาตะของญี่ปุ่น ที่ผู้คนจะพากันเขียน คำอธิษฐานไปแขวนไว้กับกิ่งไม้ เพื่อขอพรจากดวงดาว ที่ว่ากันว่าดาว 2 ดวง อันหมายถึง เจ้าหญิงทอผ้าและชายเลี้ยงวัวจะได้โคจรมาพบกันเพียงปีละ 1 ครั้ง ในวันนั้น
เมื่อ พูดถึงคนรักที่มีโอกาสได้เห็นหน้ากันเพียงปีละวันแล้ว ก็นึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่กำลังจะเข้าฉายคือ "October Sonata รักที่รอคอย" เรื่องราวชีวิตรักของสาวสวยที่รอคอยการที่จะได้พบกับคนที่รักเพียงปีละครั้ง แต่ก็มีเหตุให้ต้องแคล้วคลาดกันทุกที จนนางเอกต้องตัดสินใจเลือกระหว่างรักแท้ที่ต้องรอหรือรักจริงที่อยู่ตรงหน้า กว่าจะรู้ความจริงว่ารักแท้ รักแรกนั้น ไม่เคยจางห่างไป แม้กาลเวลาจะเนิ่นนานหลายสิบปี เพราะช่วงเวลาสั้นๆที่เธอ และเขาได้พบกันมันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปได้ทั้งชีวิตกับการรอคอย เรียกว่า รักมีพลานุภาพจริงๆ

แคทเธอรีน พาร์ร
เห็นพลอตภาพยนตร์อย่างนี้แล้ว บางท่านอาจจะบอกว่า เป็นไปไม่ได้ หรอก ที่ใครจะรอคอยความรักกันเป็นสิบๆปีอย่างที่ว่า งานนี้ผู้เขียนขอฟันธง ว่ามีแน่ แถมเราๆท่านๆ ยังได้เห็นกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง กับหลายคู่ เพียงแต่อาจจะมองข้ามรักที่รอคอยของพวกเขาไปบ้าง
ที่เห็นชัดๆ และอาจจะเรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในรักบันลือโลกที่รอคอยกัน มานาน คือความรักของเจ้าชายแห่งเวลส์ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์แห่งราชวงศ์อังกฤษ กับคามิลลา
คู่นี้ได้พบกันตั้งแต่ยังรุ่นๆ ในปี ค.ศ. 1971 หลังจากรู้จักกันได้ไม่นานก็ สนิทสนม และนัดพบกันลับๆหลายครั้ง แต่ต่อมาไม่นาน คามิลลาก็ตัดสินใจหมั้น และแต่งงานกับแอนดรูว์ ปาร์กเกอร์ โบวล์ส และมีลูกด้วยกัน แต่กระนั้น เจ้าชายแห่งเวลส์ก็ไม่ลืมรักแรกของพระองค์ ทรงขอให้คามิลลาหย่ากับสามีเพื่ออภิเษกกับพระองค์ แต่ตอนนั้นคามิลลาก็ปฏิเสธ แถมยังแนะนำให้เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์มองหาหญิงอื่นมาเคียงคู่อีกต่างหาก และนั่นก็ทำให้สุดท้ายแล้ว เลดี้ ไดอานา ได้กลายมาเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ หลังการอภิเษกสมรสที่ทั่วโลกแซ่ซ้อง ใน ค.ศ. 1981
...
ในตอนนั้น คามิลลายังเป็นเพียงรักแรกของเจ้าชายที่แอบอยู่ในซอกหลืบหนึ่งที่สื่อมวลชน ยังไม่ทราบ จนกระทั่งเกิดความแตกใน ค.ศ.1995 เมื่อผู้สื่อข่าวได้รับเทปเสียงพลอดรักของเจ้าชายและอดีต คนรักที่กลายเป็นม่ายสาว หลังชีวิตสมรสอับปาง และเรื่องราวทั้งหมด ก็นำไปสู่ การล่มสลายของวิมานรักของเจ้าหญิงไดอานาด้วย
หลังจากเจ้า หญิงไดอานาสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ.1997 รักที่เคยแอบๆ ซ่อนๆ ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กับคามิลลาก็กลายเป็น เรื่องเปิดเผยมากขึ้น จนนำไปสู่การสมรสครั้งที่ 2 ของทั้งคู่ใน ค.ศ.2005 ปิดฉากการรอคอยที่ยาวนาน กว่า 30 ปี

เพอร์เซโฟเนกับเฮเดส
ในเรื่องนี้ คนที่รักเจ้าหญิงไดอานาหลายคนยัง โกรธ และไม่ให้อภัยกับรักที่ซ่อนเร้นของเจ้าฟ้าชาย ชาร์ลส์ แต่ก็มีหลายคนที่ยอมรับได้มากขึ้น เมื่อตระหนัก ถึงความรักอันแท้จริง และการรอคอยที่ทรมานใจ ทำให้ในขณะนี้คนอังกฤษเปิดใจรับคามิลลามากขึ้น เรื่อยๆ และอาจจะไม่เป็นปัญหาในการขึ้นครองราชย์ ของเจ้าชายในอนาคต
ไล่ ย้อนขึ้นไปถึงบรรพบุรุษของพระองค์ กษัตริย์ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดพระองค์หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ว่าด้วยความรักของราชวงศ์อังกฤษน่าจะเป็น พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 กษัตริย์ผู้มีพระราชินีถึง 6 พระองค์ โดยราชินีองค์สุดท้ายคือแคทเธอรีน พาร์ร ซึ่งน่าจะเป็นราชินีที่เหมาะสมกับกษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 มากทีเดียว เพราะในฐานะกษัตริย์ พระองค์เป็นผู้ครองสถิติสมรสมากที่สุดถึง 6 ครั้ง ส่วนพระราชินีแคทเธอรีน พาร์ร เองก็ ไม่น้อยหน้ากว่ากันเท่าไหร่นัก ด้วยสถิติสมรส 4 ครั้ง โดยพระนางมีสามีมาก่อนที่จะอภิเษกกับจอมกษัตริย์ 2 คน ซึ่งเป็นสามีที่เกิดจากการจัดแจงของ ผู้ใหญ่ แต่หลังจากสามี 2 คนแรกลาโลกไป สาวเจ้า ก็พบกับความรักที่เลือก สรรเอง เมื่อได้พบหนุ่มเจ้าเสน่ห์อย่างเซอร์โธมัส ซีมัวร์ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ ตกล่องปล่องชิ้นกัน พระ เจ้าเฮนรี่ก็เกิดปฏิพัทธ์ ในตัวแม่ม่ายผู้นี้เข้า และ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พระ นางต้องกลายเป็นมเหสีคนที่ 6 ของกษัตริย์ผู้เฒ่า ซึ่งทำเป็นมองไม่เห็นว่าได้มีการหมั้นหมายกับเซอร์โธมัสแล้ว
...

กษัตริย์เฮนรี่ที่ 8
ในปี ค.ศ.1543 แคทเธอรีน พาร์ร ได้รับการ แต่งตั้งเป็นราชินี แม้ว่าจะไม่เคยลืมเซอร์โธมัสเลย แม้สักวินาทีเดียว แต่ด้วยสถานะในขณะนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการปฏิบัติราชกิจ และรอคอยความรัก ด้วยหัวใจอันแน่วแน่ จนกระทั่งพระสวามีสิ้นพระ ชนม์ในอีก 4 ปีต่อมา การรอคอยก็สิ้นสุดลง อดีต ราชินีกลับไปแต่งงานกับรักแท้เพียงรักเดียวของพระนางจนได้
เห็น เรื่องอย่างนี้แล้ว ใครที่กำลังรอความรัก อาจจะพอมีหวัง และถึงแม้จะเป็นรักที่ไร้ความหวัง การได้รอคอยใครสักคน ก็อาจจะเป็นความหวานเจืออยู่ในความขม เพราะท่ามกลางความระทมนั้น เมื่อนึกถึงความรักที่เป็นรักแท้แล้ว...ความสุขก็ยังมีอยู่ในใจได้เสมอ.
ทีมงาน ต่วย'ตูน