ถ้าพูดถึงข่าวดังในต่างประเทศ นาทีนี้คงต้องยกให้ ข่าวการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของพม่า ที่ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือพรรคเอ็นแอลดีอย่าง นางออง ซาน ซูจี ได้รับชัยชนะแบบขาดลอย

หลังจากปิดประเทศมานาน และอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหาร แต่ในที่สุดประเทศพม่าวันนี้ก็กำลังเดินหน้าเข้าสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งบุคคลสำคัญที่ผลักดัน และสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้ชาวพม่าทั้งหลายก็คือ นางออง ซาน ซูจี ดอกไม้เหล็กแห่งปวงชนชาวพม่า

วันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ ขอเกาะกระแสการเลือกตั้งที่พม่า พาไปทำความรู้จักกับผู้นำหญิงท่านนี้กันสักหน่อย บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร ก้าวมาเป็นผู้นำประเทศได้อย่างไร เราได้ย่อยข้อมูลต่างๆ มาให้ได้อ่านกัน พร้อมแล้วตามมาชมได้เลย

1. ออง ซาน ซูจี เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2488 ณ ย่างกุ้ง พม่าของอังกฤษ (British Burma) บิดาของเธอคือ นายพลออง ซาน ผู้ได้รับการสนับสนุนจากประเทศญี่ปุ่น ช่วยให้ญี่ปุ่นยึดพม่าจากสหราชอาณาจักรได้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนกับทางญี่ปุ่นให้แต่งตั้งตนเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมา นายพลออง ซาน ถูกลอบสังหารเมื่อปี 2490 เธออายุได้ 2 ขวบ

...

2. ซูจีเป็นลูกคนเล็ก เติบโตมากับการดูแลของมารดา และความเอ็นดูของเครือข่ายอำนาจเก่าของบิดา ต่อมาซูจีถูกส่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมและวิทยาลัยสตรีศรีราม ที่นิวเดลี จากนั้นไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ การเมือง และปรัชญาที่เซนต์ฮิวส์คอลเลจ ในสหราชอาณาจักร ระหว่างปี พ.ศ.2507-2510 

3. เดือนมกราคม พ.ศ.2515 ซูจีแต่งงานกับ ไมเคิล อริส และย้ายไปอยู่กับสามี ที่ราชอาณาจักรภูฏาน มีลูกชาย 2 คน คือ อเล็กซานเดอร์ และ คิม จากนั้นได้ย้ายที่อยู่อาศัยหลายครั้ง จนในที่สุดก็ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ อ็อกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร ในช่วงปี พ.ศ.2530 จากนั้นซูจีได้กลับบ้านเกิดที่พม่า

4. ชีวิตด้านการเมือง ซูจีเป็นนักการเมืองฝ่ายค้านชาวพม่า และประธานพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ช่วงก่อนการเลือกตั้ง เธอถูกควบคุมตัวเป็นเวลาเกือบ 21 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2532 จนได้รับการปล่อยตัวครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2553 ทำให้เธอเป็นนักโทษการเมืองที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก

5. การแต่งกายของเธอ ถูกพูดถึงอย่างมากในระดับสากล ซึ่งเธอจะสวมชุดประจำชาติเป็นประจำ นั่นคือ สวมเสื้อเข้ารูปที่เป็นเสื้อแขนแบบตะวันตกที่สง่างาม และผ้าซิ่นสีสันสดใส พร้อมพวงดอกไม้ที่ประดับมวยผม ทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ของสาวๆ รุ่นใหม่ในย่างกุ้ง นั่นคือพวกเธอสวมเสื้อแดงที่มีตัวอักษรเขียนว่า Mother Su และยังทำให้คนรุ่นใหม่หันมานิยมนุ่งผ้าถุงแบบพม่ามากขึ้น

6. ซูจีได้รับรางวัลมากมาย ได้แก่

- รางวัลราฟโต (Rafto Prize) และรางวัลซาฮารอฟ เสรีภาพทางความคิด (Sakharov Prize for Freedom of Thought) ในปี 2533
- รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2534
- รางวัลชวาหระลาล เนห์รู เพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (Jawaharlal Nehru Award for International Understanding) โดยรัฐบาลอินเดีย ในปี 2535
- รางวัลซีมอง โบลีวาร์ระหว่างประเทศ (International Simón Bolívar Prize) จากรัฐบาลเวเนซุเอลา ในปี 2555                   - รางวัลชาฮิด เบนาซีร์ บุตโตเพื่อประชาธิปไตย (Shaheed Benazir Bhutto Award For Democracy) โดยรัฐบาลปากีสถาน

7. ปี 2550 รัฐบาลแคนาดา ประกาศให้เธอเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของประเทศ เป็นคนที่ 4 ที่ได้รับเกียรตินี้ ในปี 2554 เธอได้รับเหรียญรางวัลลินเบิร์ก (Wallenberg Medal) และยังได้รับเหรียญทองรัฐสภา ซึ่งร่วมกับเหรียญเสรีภาพประธานาธิบดี เป็นเกียรติยศพลเรือนสูงสุดในสหรัฐอเมริกา

...

8. เรื่องราวชีวิตของเธอ ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ โดยนักแสดงหญิง มิเชลล์ โหย่ว รับบทเป็น ออง ซาน ซูจี ในภาพยนตร์ ค.ศ. 2554 เรื่อง อองซานซูจี ผู้หญิงท้าอำนาจ ซึ่งกำกับโดย ลุค เบซอง ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย 

9. ในปี 2557 นิตยสารฟอร์บส์จัดให้เธอเป็นหญิงทรงอำนาจที่สุดในโลก อันดับที่ 61

10. ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2558 มีข่าวผลการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของพม่าว่า พรรค NLD ของซูจีชนะฝ่ายรัฐบาลทหารอย่างขาดลอย

ที่มา : th.wikipedia.org