เกิดเป็นทายาทตระกูลดังถือเป็นดาบสองคม ถ้าทำไม่ดีโดนด่าสองเท่า แต่ถ้าทำดีก็หาว่าใช้เส้น! ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่โลกเดินเข้าสู่ยุคผลัดใบ...เปลี่ยนจากผู้กุมบังเหียนเจนเนอเรชั่นเก่าสู่เจนเนอเรชั่นใหม่ ครอบครัวธุรกิจบันเทิงเก่าแก่ที่สุดระดับตำนานอย่าง “กัลย์จาฤก” ผู้สร้างอาณาจักรกันตนา กรุ๊ป ให้อยู่คู่เมืองไทยมาเกือบ 7 ทศวรรษ กำลังถูกจับตามองเป็นพิเศษ เมื่อคลื่นลูกหลังเจนเนอเรชั่นสาม ภายใต้การนำของสองพี่น้อง “เต้-ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก” และ “เต็นท์-กัลป์ กัลย์จาฤก” ทายาทของหัวเรือใหญ่ค่ายกันตนา “จาฤก กัลย์จาฤก” กำลังขับเคลื่อนพลเข้ามารับไม้ต่อจากคนรุ่นก่อน เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้นำยุคใหม่ของกันตนา โดยได้แรงหนุนจากสองสาวร่วมเจนฯ “ตอง-นรรฐพร กัลย์จาฤก” ลูกสาวคนโตของ “สิทธานต์ กัลย์จาฤก” และ “สตางค์-ดิษย์ลดา ดิษยนันทน์ กัลย์จาฤก” ลูกสาวสุดรักของ “ตุ๊กตา-จิตรลดา ดิษยนันทน์ กัลย์จาฤก”

ในฐานะพี่ใหญ่เจนเนอเรชั่นสามของกันตนา “เต้” ต้องรับบทหนักขนาดไหน

เต้ : เราเป็นพี่โตสุดในรุ่นเจนเนอเรชั่นสาม มีทั้งหมด 13 คน เป็นผู้ชาย 6 คน หลังคุณลุงเสียชีวิต (สิทธานต์ กัลย์จาฤก) เต้ถูกเรียกตัวกลับจากอเมริกาเพื่อมาช่วยงานที่กันตนา ก็เริ่มทำงานกับคุณพ่อตั้งแต่วินาทีนั้น ปีนี้เป็นปีที่เจ็ดแล้วที่อยู่เมืองไทย ช่วงแรกเป็นผู้ติดตามคุณพ่อ และดูแลราชการสัมพันธ์ติดต่อกับผู้ใหญ่ ทำปีหนึ่งคุณพ่อบอกว่าต้องหัดคิดรายการเอง พรีเซ็นต์ให้ได้ ขายให้ได้ และโปรดิวซ์ให้ได้ รายการแรกทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติฯในหลวง “ล้นเกล้าของชาวไทย” มี 30 ตอน ออกอากาศช่อง 5 เป็นงานได้กล่องไม่ได้เงิน แต่ก็ประสบความสำเร็จ คราวนี้คุณพ่อเริ่มไว้ใจให้ดูโปรเจกต์ใหญ่ประจำปีของกันตนา โปรเจกต์สำคัญปีต่อมาคือ แอนิเมชั่นสิ่งแวดล้อมเรื่อง Eco Planet มูลค่า 150 กว่าล้านบาท คุณพ่อให้ดูทุกอย่างทั้งคิดคอนเซปต์, ขาย และนำเข้าฉายในโรงหนัง ก็ได้เรียนรู้กระบวนการขายอีกรูปแบบหนึ่ง ได้หลายรางวัลในต่างประเทศ แต่ประเทศไทยขาดทุนมหาศาล เพราะเข้าฉายช่วงบ้านเมืองมีปัญหา แต่เราก็มุ่งมั่นทำต่อไปนะ คนกันตนาเป็นโรคนี้ ถ้าไม่ยากไม่อยากทำ! ปีต่อมาเป็นปีของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมกำลังบูม กันตนาก็เปิด 5-6 ช่อง “เต้” ต้องไปขึ้นสถานีโทรทัศน์ทั้งหมด และดูแลเองเต็มๆหนึ่งช่อง กระทั่งล่าสุดอุตสาหกรรมทีวีเปลี่ยนเป็นทีวีดิจิตอล กันตนาตั้งเป้าว่าจะเป็นคอนเทนต์โพรไวเดอร์ รับจ้างผลิตรายการและละครป้อนทุกช่อง คุณพ่อก็ยกโปรเจกต์นี้ให้ บอกว่าเป็นช่วงเวลาของเธอแล้ว ไปดูการผลิตคอนเทนต์ทีวีทั้งหมด.

...

แต่ละคนโดนพ่อแม่บังคับไหมว่าต้องเข้ามาช่วยงานที่บ้าน?

เต้ : ครอบครัวเราประหลาด เพราะไม่เคยบังคับ แต่เป็นโชคดีที่ทุกคนรักที่จะทำ และอยากทำงานที่กันตนา “เต้” ไม่ได้จบด้านบริหาร แต่เห็นมาตั้งแต่เด็ก คือเกิดในกองถ่าย เล่นละครตั้งแต่อายุไม่ถึงเดือน โตในกองถ่ายกินในกองถ่าย เข้าใจชีวิตในกองถ่ายดี เล่นละครอยู่หลายปีเล่นเป็นสิบๆเรื่อง

เต็นท์ : ผมไปเรียนปริญญาโทภาพยนตร์ที่นิวยอร์ก ฟิล์ม อะคาเดมี่ เมืองลอสแอนเจลิส อเมริกา ได้เห็นอะไรแปลกๆใหม่ๆในต่างประเทศเยอะ พอเรียนจบก็อยากนำความรู้ที่เราได้รับโอกาสจากครอบครัว มาต่อยอดให้กับครอบครัวของเรา แต่ไม่ได้คิดว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจครอบครัว เพราะเป็นงานวงการบันเทิงที่เราต้องสื่อสารไปยังผู้ชมจำนวนมากให้ได้ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงมาก แต่ก็ต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้กับสังคมด้วย

ตอง : ชอบภาพยนตร์มาตั้งแต่เด็กค่ะ และสนิทกับพี่เต็นท์ที่สุด เพราะชอบฟิล์มเหมือนกัน ตองไปเรียนทำภาพยนตร์มาจากนิวยอร์กเหมือนพี่เต็นท์ พอเรียนจบกลับมาปี 2012 ก็ช่วยพี่เต็นท์ทำงานที่กันตนา โมชั่น พิคเจอร์ส ทำด้านโปรดิวซ์ และโพสต์โปรดักชั่น ตองจะเน้นทางฟิล์มเฟสติวัลต่างๆ และการประสานงานต่างประเทศ

สตางค์ : ตอนนี้แฮปปี้สุดแล้วค่ะ ได้ทำงานใกล้ชิดคุณแม่ สตางค์ก็โตมาในกองถ่ายละครเหมือนพี่เต้ เวลาคุณแม่ไปหาลูกค้า ไปห้องตัดต่อ เราก็วิ่งเล่นอยู่แถวนั้น ทำให้รักและซึมซับงานพวกนี้โดยไม่รู้ตัว คุณแม่อยากให้เรียนรู้งานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ตอนนี้เลยถ่ายทอดวิชาให้ทุกอย่าง เหมือนทายาทอสูรอะไรแบบนั้น (หัวเราะ) อีกด้านก็ไปช่วยพี่เต้ดูฟอร์แมตซีรีย์ละครต่างประเทศเรื่องใหม่ Gossip Girl เพิ่งซื้อลิขสิทธิ์ทำเวอร์ชั่นไทย

กดดันไหมที่เกิดเป็นทายาทกันตนา ต้องอยู่ภายใต้เงาของพ่อแม่

เต็นท์ : ไม่กดดันเลย เพราะพ่อช่วยตลอด! ผิดก็สอน เราก็จำและแก้ไขทันที จริงๆคุณพ่อเป็นคนทันสมัยนะครับ ทุกครั้งที่คุยกันจะเหมือนแลกเปลี่ยนทัศนคติมากกว่า เป็นการสอนมากกว่าสั่ง พ่อเปิดรับสิ่งใหม่เสมอ สำหรับผม การเป็นลูกหลานกันตนาเหมือนมีแผนที่จากครอบครัวแล้ว แต่เราค้นหาแผนที่ใหม่ได้ ถ้าหลงก็กลับที่เก่าได้ ต้องขอบคุณครอบครัวตรงนี้ด้วย

เต้ : ถามว่ากดดันไหมกดดันนะ แต่ไม่กลัว! เพราะรู้ว่าเงาทั้งหลายจะคอยซัพพอร์ตเราหมด วันหนึ่งเต้เคยไม่เข้าใจพ่อ เพราะไม่เคยลงไปทำเอง วันนี้ลงไปทำเอง...เข้าใจแล้ว!

...

ตอง : ถ้าทำดีคนจะบอกว่ามีผู้ใหญ่ช่วย ถ้าล้มเมื่อไหร่ก็โดนซ้ำเลย แต่ตองเชื่อว่าสุดท้ายสิ่งที่เราทำมันจะวัดเองว่าเราทำได้หรือไม่ได้ ผลงานของเราจะเป็นตัวตัดสินเอง

เต้ : ในฐานะพี่ใหญ่ ถ้าวันไหนน้องๆเดินเข้ามาไม่สบายใจมีอารมณ์มา เต้จะยอมแพ้เลยนะ เต้เสียสละให้น้องๆได้หมดทุกอย่าง! การทำงานกับคนเยอะๆมันมีเข้าใจผิดได้ตลอดเวลา แต่สำหรับน้องๆเต้จะยอมขอโทษก่อน สุดท้ายถ้างานจะเสียก็ยอมให้งานเสีย แต่ความสัมพันธ์พี่น้องต้องไม่เสีย!

สองพี่ใหญ่พิสูจน์ตัวเองยังไงให้เป็นที่ยอมรับ?

เต็นท์ : เมื่อได้รับมอบหมายอะไรสักอย่าง แน่นอนผมทำเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีทางให้เสียหาย โชคดีที่มักจะได้งานที่ผมอยากทำอยู่แล้ว แต่ก็มีหลายอย่างที่ผมอยากทำต่อไป แต่ยังไม่มีโอกาสทำ ตอนนี้ต้องเรียนรู้ ใช้เวลาหาประสบการณ์ไปเรื่อย หลังเรียนจบกลับมา พ่อให้เลือกว่าจะทำอะไร ผมไม่เลือกที่จะเข้ามาทำกับผู้ใหญ่เลย อยากทำบริษัทตัวเอง พ่อโอเค! ผมเลยได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท กันตนา โมชั่น พิคเจอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทเก่าในเครือกันตนาแต่เหมือนปิดชั่วคราว ทำผลงานชิ้นแรกในฐานะผู้กำกับและโปรดิวเซอร์คือ ภาพยนตร์สั้นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่อง “กฤษฎาภินิหาร” จากนั้นก็ขอบทประพันธ์ของคุณปู่คุณย่าเรื่อง “ห้องหุ่น” มารีเมกเป็นภาพยนตร์ ลงมือกำกับเอง ทำให้ได้ประสบการณ์เยอะ

...

เต้ : ภารกิจของเต้ตั้งแต่เรียนจบคือ บินไปเทศกาลทีวีเฟสติวัลที่เมืองคานส์ทุกปี เพื่อดูข้อมูลซื้อและขายรายการฟอร์แมต ก็ลงล็อกว่าตอนนี้กันตนาเป็นคอนเทนต์โพรไวเดอร์เต็มตัว เรามีของอยู่ในมือเยอะ และถ้าไม่มี เราก็รู้ว่าจะไปเอาที่ไหน เลยลงตัวกับโปรเจกต์ใหม่ ได้นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท กันตนา เอฟโวลูชั่น จำกัด เป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ลิขสิทธิ์ต่างประเทศ เช่น รายการเรียลลิตี้ THE FACE THAILAND ทางช่อง 3 ล่าสุดไปซื้อละครซีรีย์ดังต่างประเทศ Ugly Betty มาทำละคร “ยัยเป็ดขี้เหร่” ให้ไทยรัฐทีวี ออนแอร์สี่ทุ่ม ทุกคืนวันจันทร์

ใครคือไอดอลที่เป็นต้นแบบการทำงานของทายาทรุ่นใหม่

เต้ : คุณพ่อ! จะเป็นสไตล์ปล่อยให้ลูกลองทำก่อน เมื่อทำท่าจะมีปัญหา ค่อยยื่นมือช่วย คุณพ่อเป็นต้นแบบเรื่องวิธีคิดวิธีทำงาน และวิธีการปกครองคน คุณพ่อเป็นที่รักของทุกคนจริงๆ ส่วนเต้คนจะไม่ค่อยรักเพราะปรี๊ดง่าย! คือเต้รู้สึกว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไร เต้รอไม่ได้ ต้องทำเลย มันก็เลยไม่น่ารักในสายตาคนอื่น! พ่อจะเรียกมาดุว่าถ้าอยู่คนเดียวไม่มีคนช่วยงานจะอยู่ได้ไหม เชื่อไหมว่าคุณพ่อสามารถได้ในสิ่งที่ต้องการโดยลูกน้องไม่เคียดแค้น...เก่งมาก

เต๊นท์ : ตั้งแต่เด็กก็อยู่กับพ่อตลอด พ่อปลูกฝังมาเรื่อยๆ โดยนิสัยอย่างหนึ่งที่เหมือนกันมากคือ ชอบทดลองของใหม่ๆ โดย เฉพาะการไม่ชอบทำอะไรง่ายๆ ชอบอะไรที่ยากและดูท้าทาย

...

เจนเนอเรชั่นสามหาเงินได้เยอะกว่าใช้เงินไหมคะ

เต็นท์ : ผมยอมรับว่าทำหนังอย่างเดียวคงอยู่ไม่ได้ ต้องหาหนทางของผมเหมือนกัน ทำอย่างอื่นพอมีกำไรก็เอามาทำหนังต่อ บางคนคิดว่าผมใช้เงินไปเรื่อย แต่อยากบอกว่าผมหาเงินได้ไม่น้อยนะ บางทีทำในสิ่งที่ไม่ชอบก็ต้องทำ โดนบีบคั้นจิตใจก็ต้องทำ เพื่อแลกกับสิ่งที่อยากทำ

เต้ : มันสูสีกันมาก (หัวเราะ) เอาจริงๆนะเราใช้เงินเก่งกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ เพราะเราโตมาสบายกว่า แต่เวลาทำธุรกิจจริงๆ พ่อแม่เราก็ยังคุมเงินอยู่ ฉะนั้น คงใช้ได้อย่างจำกัด ทุกโปรเจกต์ต้องเสนอผู้ใหญ่

กลัวไหมว่าธุรกิจครอบครัวจะพังด้วยน้ำมือของทายาทเจนเนอเรชั่นสาม?!

เต้ : มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่สุด เป็นสถิติที่ทำมาทั่วโลก แต่ไม่ได้แปลว่าจะเกิดในครอบ-ครัวกัลย์จาฤก พวกเราเพิ่งลุกขึ้นมาเขียนธรรมนูญครอบครัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งนี้ โดยตั้งใจเขียนตั้งแต่ตอนที่คนเจนเนอเรชั่นสองยังมีชีวิตอยู่ เพื่อถ่ายทอดหลักคิดของคนเจนเนอเรชั่นหนึ่งมาสู่ลูกหลานด้วย คุณย่าก็ร่วมเขียนธรรมนูญ คุณย่าเปรี้ยวมาก บอกว่าขอให้ปรับตัวไปตามกระแสโลก ขอให้กล้าลองสิ่งใหม่ๆ

ตอง : พวกเราเจนฯสามไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายไปวันๆ ไม่ได้ถูกเลี้ยงแบบสปอย ทุกคนทำงานหนักมาก เพื่อให้บริษัทก้าวไปข้างหน้า ตองมั่นใจว่าพวกเราทุ่มเททำงานหนักจริงๆ ธุรกิจนี้ไม่ได้สบายเลย

อะไรคือจุดแข็งที่สุดของครอบครัวกันตนา

เต้ : เราเป็นครอบครัวโชคดีมากที่ไม่แก่งแย่ง ทะเลาะกันบ้างแต่ก็จบ เพราะมีศูนย์รวมจิตใจคือคุณย่า เลยไม่อยากทำให้สิ่งที่คุณปู่คุณย่าสร้างมาต้องพังครืน ทุกเรื่องคุณย่าพูดแล้วต้องจบ! คุณพ่อเต้เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ปกครองอย่างยุติธรรมและเด็ดขาด ปัจจุบันเรามีสมาชิกในครอบครัว 25 คน อยู่บ้านในบริเวณเดียวกันหมด คุณย่าอายุ 85 ปีแล้ว พวกเราจะรวมตัวกันทุกวันสำคัญที่บ้าน ใครจะไปไหนมาไหนต้องบอกคุณย่า พวกเราเคารพรักคุณย่ามาก สุดๆเลยคือเกรงใจคุณย่ามาก ไม่ว่ามีอะไรติดขัด พวกเราจะปรึกษาคุณย่าได้ทุกเรื่อง

ฝันอยากทำอะไร ถ้าไม่ได้เกิดเป็นลูกหลานกันตนา

เต็นท์ : นึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่ใช่แล้วจะทำอะไร เพราะตั้งแต่เกิดมาก็อยู่กับงานตรงนี้ตลอด เรียนด้านนี้มาตลอด มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นลูกหลานกันตนา ก็คงป้วนเปี้ยนอยู่ในวงการบันเทิงนี้ล่ะครับ.


ทีมข่าวหน้าสตรี