ฉากหนึ่งในภาพยนตร์ตลกชิ้นเอกของผู้กำกับสแตนลีย์ คูบริก เรื่อง ดร.สเตรนจ์เลิฟ (Dr.Strangelove) เป็นตอน ที่แจ็ก ดี. ริปเปอร์ นายพลแตกแถวแห่งกองทัพสหรัฐฯ ผู้สั่งถล่มสหภาพโซเวียตด้วยระเบิดนิวเคลียร์ เปิดเผยมุมมองวิตกจริตของเขาเกี่ยวกับแผนสมรู้ร่วมคิดระดับโลก และอธิบายว่า ทำไมเขาจึง “ดื่มแต่น้ำกลั่นหรือน้ำฝน และเหล้ากลั่นจากธัญพืชเท่านั้น” ให้แก่ไลโอเนล แมนเดรก นาวาอากาศเอกจากกองทัพอากาศอังกฤษ 

ริปเปอร์: นายรู้ไหมว่า การเติมฟลูออไรด์ในน้ำคือแผนการร้ายที่สุดและอันตรายที่สุดของพวกคอมมิวนิสต์ ที่เราต้องเผชิญ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายเมื่อปี 1964 ซึ่งในตอนนั้นผลดีของการเติมฟลูออไรด์เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้ว และทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดว่าด้วยการต่อต้านการเติมฟลูออไรด์ก็เหมาะจะเป็นเรื่องตลก ทว่า 50 ปีต่อมา การเติมฟลูออไรด์ก็ยังก่อให้เกิดความกลัวและหวาดระแวงได้ เมื่อปี 2013 ชาวเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่หนึ่งในไม่กี่เมืองของสหรัฐฯ ที่ยังไม่เติมฟลูออไรด์ลงในน้ำประปา พากันขัดขวางแผนเติมฟลูออไรด์ของเทศบาลเมืองโดยกล่าวอ้างว่าฟลูออไรด์อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ความจริงฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุธรรมชาติ หากผสมอย่างเจือจางในน้ำประปาจะช่วยทำให้เคลือบฟันแข็งแรงและ ป้องกันฟันผุ นับเป็นวิธีเสริมสร้างสุขภาพฟันที่ประหยัดและปลอดภัยสำหรับทุกคน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่วงการวิทยาศาสตร์และวงการแพทย์เห็นพ้องต้องกัน

เราอยู่ในยุคที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่เรื่องความปลอดภัยของการเติมฟลูออไรด์ การฉีดวัคซีน และความจริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เผชิญการ
ต่อต้านอย่างเป็นระบบและมักดุเดือดเผ็ดร้อน ผู้คลางแคลงสงสัยใช้แหล่งข้อมูลของตนเองและตีความงานวิจัยต่างๆ ด้วยมติหรือมุมมองของตนเอง พวกเขาประกาศสงครามกับเรื่องที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องต้องกัน และปัจจุบันกระแสความแคลงสงสัยนี้ก็เป็นเรื่องฮอตฮิตทั้งในหนังสือ บทความ และการประชุมวิชาการต่างๆ ถึงขนาดที่ว่าความกังขาต่อวิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องอินเทรนด์ร่วมสมัย ในภาพยนตร์เรื่อง อินเตอร์ สเตลลาร์ (Interstellar:ทะยานดาวกู้โลก) ที่เข้าฉายช่วงปลายปี 2014 อเมริกาในโลกอนาคตเสื่อมถอยจนนาซาต้องกลาย เป็นองค์กรหลบๆ ซ่อนๆ และตำราเรียนบอกว่า การลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอะพอลโลเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาทั้งหมด

...

หากจะว่าไปแล้ว ความกังขาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทรกซึมอยู่ในชีวิตของเรามากกว่ายุคไหนๆ สำหรับพวกเราหลายคน โลกสมัยใหม่นี้ช่างน่าอัศจรรย์ สะดวกสบาย และให้อะไรมากมายเหลือเกิน แต่ขณะเดียวกันก็ซับซ้อนขึ้นและบางทียังน่ากลัวอยู่ลึกๆ ทุกวันนี้ เราเผชิญความเสี่ยงหลายอย่างที่ไม่สามารถวิเคราะห์เองได้ง่ายๆ

ตัวอย่างเช่นเราได้รับคำขอให้ยอมรับว่า อาหารที่ทำจากหรือมีส่วนผสมของพืชและสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) สามารถกินได้อย่างปลอดภัย เพราะไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าไม่ปลอดภัย และไม่มีเหตุผลที่ควรเชื่อว่า การแปลงยีนอย่างเฉพาะเจาะจงในห้องปฏิบัติการจะอันตรายกว่าการแปลงยีนยกชุดในการปรับปรุงพันธุ์แบบดั้งเดิม แต่สำหรับบางคน แนวคิดว่าด้วยการถ่ายโอนยีนข้ามชนิดพันธุ์มาพร้อมกับภาพเหล่านักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องผู้ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ

ในโลกที่ชวนสับสนงุนงงนี้ เราต้องตัดสินใจว่าจะเชื่ออะไร และปฏิบัติตัวอย่างไรในเรื่องนั้น วิทยาศาสตร์มีไว้เพื่อการนี้ “วิทยาศาสตร์ไม่ใช่กลุ่มหรือชุดข้อเท็จจริงต่างๆ” มาร์เชีย แม็กนัต นักธรณีฟิสิกส์ และบรรณาธิการวารสาร ไซแอนซ์ บอก “วิทยาศาสตร์เป็นระเบียบวิธีสำหรับแยกแยะว่า สิ่งที่เราเลือกจะเชื่อตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎธรรมชาติหรือไม่” แต่ระเบียบวิธีที่ว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่รู้ได้โดยสัญชาตญาณ เราจึงเจอปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แน่นอนว่า เราเผชิญปัญหามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์นำเราไปสู่ความจริงที่เข้าใจได้ยาก มหัศจรรย์พันลึก และบางทีก็ยากที่จะยอมรับ ย้อนหลังไปในช่วงต้นศตวรรษที่สิบเจ็ด เมื่อกาลิเลโอยืนยันว่า โลกหมุนรอบแกนตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ เขาขอให้คนทั่วไปเชื่อในสิ่งที่ขัดต่อสามัญสำนึก เพราะดูอย่างไรดวงอาทิตย์ก็วนอยู่รอบโลก และคุณไม่รู้สึกเลยว่าโลกกำลังหมุน สองร้อยปีให้หลัง แนวคิดของชาร์ลส์ ดาร์วินที่ว่า สรรพชีวิตในโลกล้วนวิวัฒน์มาจากบรรพบุรุษยุคดึกดำบรรพ์ และมนุษย์เป็นญาติห่างๆ ของเอป วาฬ และแม้แต่หอยทะเลลึก ยังคงเป็นสิ่งที่คนในยุคนี้จำนวนมากไม่อาจทำใจยอมรับหรือเชื่อได้

แม้กระทั่งเมื่อเรายอมรับหลักความจริงของวิทยาศาสตร์ด้วยเหตุด้วยผล แต่บ่อยครั้งเราก็ยังยึดติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ ที่มาจากจิตใต้สำนึกหรือนักวิจัยเรียกว่า ความเชื่อแบบไร้เดียงสา งานวิจัยของแอนดรูว์ ชตูลแมน จากออกซิเดนทัลคอลเลจเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่นักศึกษาที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ชั้นสูงยังลังเล เมื่อถูกขอให้ยืนยัน หรือปฏิเสธว่า มนุษย์สืบเชื้อสายมาจากสัตว์ทะเล หรือว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ความจริงทั้งสองข้อนี้ขัดแย้งกับ ความเชื่อหรือความรู้เก่าแก่ของมนุษย์ แม้แต่นักศึกษาที่ตอบคำถามเหล่านี้ว่า “จริง” ก็ยังใช้เวลาตัดสินใจตอบนานกว่าคำถามที่ว่า มนุษย์สืบเชื้อสายมาจากสัตว์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้หรือไม่ (ซึ่งจริง แต่เข้าใจได้ง่าย) หรือดวงจันทร์โคจรรอบโลกหรือไม่ (ซึ่งจริง แต่สอดคล้องกับความรู้ดั้งเดิม) งานวิจัยของชตูลแมน บ่งชี้ว่า ขณะที่เรารู้จักวิทยาศาสตร์มากขึ้น เราก็สะกดความเชื่อไร้เดียงสาของเราไว้ แต่ไม่เคยลบล้างออกไปจนหมดสิ้น

...

ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยากแม้กับนักวิทยาศาสตร์เอง ซึ่งมีจุดอ่อนไม่ต่างจากคนทั่วไปในสิ่งที่ พวกเขาเรียกว่า ความลำเอียงในการยืนยัน (confirm ation bias) หรือแนวโน้มที่จะมองหาและเห็นเฉพาะหลักฐานที่ยืนยัน สิ่งที่พวกเขาเชื่ออยู่แล้ว ทว่าสิ่งที่ต่างจากคนทั่วไปคือ นักวิทยาศาสตร์ส่งผลงานหรือข้อสรุป
ของพวกเขาเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโดยเพื่อนร่วมอาชีพก่อนการตีพิมพ์ หากผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์แล้วมีความสำคัญเพียงพอ นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ จะพยายามทำให้เกิดผลอย่างเดียวกันซ้ำอีก ความที่เป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และชอบการแข่งขันเป็นทุนเดิม ทำให้พวกเขายินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า ผลงานหรือทฤษฎีนั้นๆใช้ไม่ได้ ธรรมชาติของผลงานทางวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่สิ่งตายตัว อย่างน้อยก็จนกว่าจะถูกหักล้างด้วยการทดลองหรือการสังเกตการณ์ในอนาคต น้อยครั้งนักที่นักวิทยาศาสตร์ จะประกาศความจริงสัมบูรณ์ (absolute truth) หรือความแน่ใจแบบเบ็ดเสร็จ ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ณ พรมแดนแห่งความรู้

“วิทยาศาสตร์จะค้นพบความจริง” คอลลินส์บอกและเสริมว่า “ผลครั้งแรกอาจจะผิด ครั้งที่สองก็อาจจะผิดอีก แต่ในที่สุดจะพบความจริงครับ”

ข้อมูลจากเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกฉบับภาษาไทย