ก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ จนทำให้รากเหง้าของ “ท่าเตียน” ถูกกลืนหายไป เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเกาะรัตนโกสินทร์เปลี่ยนไปเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ “มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้” สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ภายใต้การนำของ “ราเมศ พรหมเย็น” จัดนิทรรศการ “ท่าเตียน กรุงเทพฯ บทที่ 1” ตั้งแต่วันนี้ ถึง 1 ก.พ. 2558 พาย้อนตำนานกลับไปเมื่อ 500 ปีก่อน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อหวนรำลึกถึงความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชุมทางการค้าและการคมนาคมสำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยา
...
“ท่าเตียน” ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ชั้นในของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพื้นที่ที่มีองค์ประกอบของแม่น้ำเจ้าพระยา, วัด, วัง และเมือง ในสมัยที่กรุงศรีอยุธยามั่งคั่งจากการค้าทางทะเลกับบ้านเมืองที่ห่างไกล และใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก ผลจากการขุดซ่อมคลองสายต่างๆ เพื่อรองรับการเดินเรือขนาดใหญ่ โดยมีการขุดคลองลัดบางกอกจากปากคลองบางกอกน้อยไปทะเล ผ่านปากคลองบางกอกใหญ่ ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช ทำให้เกิดการเปลี่ยนเส้นทางของลำน้ำ “คลองลัด” ได้ขยายตัวเป็นแม่น้ำ ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมกลับตื้นเขินแคบลงจนกลายเป็นคลอง ชุมชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจึงขยับขยายไปตั้งอยู่ปลายคลองลัด ซึ่งภายหลังถูกเรียกขานว่า “บางกอก” ความสำคัญของเมืองบางกอกมีมากขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อบางกอกกลายเป็นเมืองด่านสำคัญ และเป็นจุดพักเรือของนานาประเทศเป็นเวลากว่า 300 ปี โดยเรือสำเภาทุกลำต้องหยุดเพื่อแจ้งรายละเอียดการเดินทาง, สินค้า และผู้โดยสาร รวมถึงจ่ายภาษีทั้งขาขึ้นขาล่อง บางกอกในเวลานั้นมีศูนย์กลางคือ พระบรมมหาราชวัง และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจให้สองราชธานีคือ ธนบุรี และรัตนโกสินทร์
เมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงขึ้นครองราชย์ ได้ทรงย้ายพระบรมมหาราชวังจากกรุงธนบุรี ฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา มาอยู่ฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระบรมมหาราชวังปัจจุบัน สมัยนั้น พื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมี “ชุมชนท่าเตียน” เป็นศูนย์กลาง เป็นย่านที่ คนจีนและคนญวนอาศัยอยู่หนาแน่น เมื่อมีการก่อสร้างพระนครใหม่ จึงได้รื้อกำแพงเมืองฝั่งธนบุรี ย้ายสถานที่ราชการมายังฝั่งพระนคร ขุดคลองรอบกรุงขึ้นใหม่ สร้างกำแพงเมืองและป้อมใหม่
ในยุคที่สังคมไทยยังเป็น “สังคมชาวน้ำ” บ้านเรือนราษฎรจะอาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และทำมาค้าขายอยู่บนน้ำ ขณะที่บนบกสงวนไว้เป็นที่ตั้งของวัด, วัง, สถานที่ราชการ และบ้านเสนาบดีขุนนาง โดยตลอดยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น “ท่าเตียน” ถือเป็นชุมทางการค้าสำคัญที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะเป็นแหล่งรวมสินค้าทุกชนิดจากทุกหัวเมือง รวมทั้งสินค้าที่บรรทุกมาจากสำเภาเมืองจีน ก็ต้องแวะมาขนถ่ายกันที่นี่ “ท่าเตียน” ยังเป็นจุดกำเนิดมหาวิทยาลัยแห่งแรกของสยามประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้นำสรรพวิชาต่างๆ รวมถึงตำรายาและศาสตร์การนวดโบราณ ซึ่งสงวนไว้เป็นความลับตระกูล มาจารึกลงบนผนังศาลาวัดโพธิ์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการนวดและจับเส้นแก่ประชาชนทั่วไป พร้อมทั้งโปรดให้เขียนภาพและปั้นฤาษีดัดตนไว้ที่วัดโพธิ์ และจารึกวิชาหัตถศาสตร์ลงบนแผ่นหินอ่อน เพื่อแสดงจุดสำคัญต่างๆบนร่างกายมนุษย์
...
อย่างไรก็ดี ด้วยรูปแบบการพัฒนาเมืองกรุงที่เปลี่ยนโฉมหน้าครั้งใหญ่ และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวบางกอก จากชุมชนชาวน้ำมาเป็นชีวิตแบบคนบกเต็มตัว อันเป็นผลมาจากสยามประเทศหันมาค้าขายกับชาวต่างชาติมากขึ้น หลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้บทบาทของ “ท่าเตียน” เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมนับแต่นั้น คงเหลือไว้เพียงตำนานเก่าแก่ที่เล่ากันมาว่า ยักษ์วัดโพธิ์ขอยืมเงินยักษ์วัดแจ้ง แล้วชักดาบไม่จ่ายคืน ทำให้ยักษ์วัดแจ้งต้องข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืน แต่ไม่สำเร็จ จึงลงมือสู้รบกันอุตลุด ทำให้บ้านเรือนละแวกนั้นราบเตียน อันเป็นที่มาของชื่อ “ท่าเตียน”...ร่วมฟื้นตำนานประวัติศาสตร์ท่าเตียน ผ่านมุมมองหลากหลายมิติทั้งเก่าและใหม่ ได้ที่มิวเซียมสยาม ตั้งแต่วันนี้ ถึง 1 ก.พ. 2558 เวลา 10.00-18.00 น. (ปิดวันจันทร์) คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.museumsiam.org หรือ facebook.com/museumsiamfan.
...