แข่งเรือแข่งแพแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้จริงๆ เหมือนกับชีวิตของ “มูนา อัล ซารูณีย์” ม่ายสาวไทยลูกสอง ที่พรมลิขิตรักชักนำให้ปิ๊งรักกับอภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของดูไบ “มร.อาเหม็ดณูร์ อัล ซารูณีย์” สร้างตำนานซินเดอเรลล่าบทใหม่ให้ได้ฮือฮาไปทั่วโลกอาหรับ

จากม่ายสาวลูกสองที่มีธุรกิจทัวร์เล็กๆ ชีวิตพลิกผันมาปิ๊งรักกับอภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของดูไบได้อย่างไร

เรารู้จักกันมาก่อน เขาเป็นลูกค้าบริษัททัวร์ของเรา รู้จักกันตั้งแต่ “มูนา” ยังมีสามีอยู่ และมีลูก 2 คน จนเราเลิกกับสามีเก่า ก็คุยกับเขาแบบเพื่อนอยู่ 4-5 ปี ถึงตกลงเป็นแฟนกัน เขาโทร.ข้ามประเทศมาคุยกับเราทุกวัน เดือนละหลายแสน หลังคบเป็นแฟน 2 ปี จึงตัดสินใจแต่งงานกัน


ทราบมาก่อนไหมว่า เขาเป็นมหาเศรษฐีรวยที่สุด 1 ใน 5 ของดูไบ

แรกๆไม่ทราบเลย เพื่อนมาบอกว่าผู้ชายคนนี้บ้านใหญ่อย่างกับวัง แต่เราก็พูดตลอดว่าโอ้ยรวยแค่ไหนไม่รู้หรอก แต่ฉันไม่ชอบแขก!! ตอนหลังมารู้ว่าเขาเป็นนักธุรกิจทำอสังหาริมทรัพย์อยู่ดูไบ ปีหนึ่งมาเที่ยวเมืองไทยแค่ครั้งเดียว พอคบกันสักพัก ตอนเราจะเปลี่ยนรถ เขาส่งเงินเข้าบัญชีเรามาล้านหนึ่ง ยอมรับว่าตกใจเหมือนกัน

...

ชีวิตเปลี่ยนเป็นเจ้าหญิงเลยไหมคะ หลังแต่งงานไปอยู่ดูไบ

 

ก็คล้ายๆนะ (หัวเราะ) มีคนรับใช้ล้อมหน้าล้อมหลัง 16 คน แต่เราก็พยายามหยิบจับอะไรด้วยตัวเอง อายุเยอะแล้ว ถ้านั่งเฉยๆไม่ทำอะไรเลย เดี๋ยวเป็นง่อยนะ จะว่าไปแล้วในชีวิตไม่เคยลำบากอะไร เพราะคุณพ่อเป็นตำรวจ คุณแม่ทำร้านจิวเวลรี่ ถูกเลี้ยงแบบไทยจ๋า ตอนเด็กๆเป็นคนหัวอ่อน ไม่ดื้อไม่เกเร อยู่ในโอวาทพ่อแม่ตลอด แต่เรียนหนังสือไม่เก่ง ชอบประดิดประดอย ชอบทำดอกไม้ ชอบทำเสื้อ ชอบการฝีมือ เลยติดนิสัยชอบจัดโน่นจัดนี่มาถึงวันนี้

ไปอยู่ดูไบแรกๆปรับตัวเยอะไหมคะ เพราะเห็นว่าต้องอยู่รวมกับสะใภ้คนอื่นด้วย

 

ต้องใช้เวลา 4-5 ปี กว่าจะยืนหยัดเอาตัวรอดมาได้ เพราะต้องย้ายไปอยู่รวมกับสะใภ้อีก 4 คน โดยที่เราเป็นสะใภ้คนโตและเป็นต่างชาติ เรื่องชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายมาก แต่ต้องปรับตัวหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องภาษา ตอนนั้นเรายังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง แถมยังอยู่ต่างบ้านต่างเมืองที่ใช้ภาษาอารบิกเป็นหลัก ก็ต้องสู้เยอะกว่าจะมีวันนี้

ได้ข่าวว่าช่วงแรกก็มีร้องไห้เหมือนกัน ใครกล้ารังแกนายหญิงใหม่

ร้องไห้ทุกวัน ชีวิตนี้ไม่เคยทุกข์ใจเท่านี้ เราเหมือนถูกโดดเดี่ยว ต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง เพราะวัฒนธรรมที่โน่นจะแยกชายหญิงเด็ดขาด ทำให้เราต้องแยกกับสามีทุกอย่าง กินข้าวก็คนละห้อง นั่งเล่นก็คนละห้อง ไม่เคยจูงมือกันเดิน วันหนึ่งจะเจอกันแค่ตอนนอนเท่านั้น เราเคยทะเลาะกับเขาหลายครั้ง ทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกัน แต่มีเรื่องอะไรกลับต้องโทรศัพท์คุยกัน!! ช่วงแรกเรายังไม่คุ้นเคย ก็ต้องรีบปรับตัวเพื่อให้เรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่ในแบบที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน มันเลยเก็บกด!! โชคดีที่สามีเป็นคนดีมาก เรายื่นคำขาดตั้งแต่อยู่ด้วยกันว่า หากสามีไปมีคนอื่น เราก็จะกลับมาอยู่เมืองไทยทันที ซึ่งเขาก็ดีนะที่ไม่เคยมีใครให้เราจับได้ซะที

...

เห็นว่าไปอยู่ที่โน่น “คุณมูนา” ไม่ต้องทำงาน แต่ได้เงินเดือนใช้เป็นแสนเป็นล้าน

ชีวิตที่ดูไบไม่ต้องทำงานอะไรเลย พอว่างก็ไปช็อปปิ้ง และมีหน้าที่แต่งตัวสวยๆออก งาน ทุกเดือนเราจะได้เงินเดือน และเป็นธรรมเนียมของครอบครัวที่จะจัดงบเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 3-5 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของธุรกิจ โดยงบประมาณท่องเที่ยวนี้ ใครอยากเก็บหรืออยากเดินทางสุดแต่ความต้องการ ส่วนใหญ่ “มูนา” จะเลือกเก็บไว้เพื่อซื้อเพชร และเดินทางมาเยี่ยมลูกที่เมืองไทย เราไม่ได้เป็นคนฟุ้งเฟ้อ ไม่ได้บ้าแบรนด์เนม แต่ก็มีบ้าง ซึ่งเราไม่ได้มีแบบสะสมมากองไว้เยอะๆ ต้องมีทุกแบบทุกสีทุกคอลเลกชั่น ไม่ใช่แบบนั้น เราซื้อแค่พอประมาณ

ห่มเครื่องเพชรเยอะไปทั้งตัว กลัวคนนินทาว่าเว่อร์ไหม?

(ยิ้มกว้าง) ชอบเพชรมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะคุณแม่ขายเพชร สมัยก่อนเก็บเงินซื้อเอง ตั้งแต่เพชรกะรัตละ 8,000 บาท เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ก็เก็บสะสมมาเรื่อยๆ และจะถ่ายรูปเครื่องเพชรทุกชิ้นแปะไว้บนกล่อง มันเป็นความชอบส่วนตัว และคิดว่าสามีก็คงชอบเหมือนกัน แม้จะไม่เคยชมหรือตำหนิ แค่จะถามว่าแต่งอะไรของเธอ “มูนา” คิดว่าเป็นความภูมิใจเล็กๆของสามีด้วยซ้ำ ที่เห็นภรรยาแต่งกายงดงาม ส่วนคนอื่นเราถือคติว่า พูดได้พูดไป เหนื่อยตอนไหน ก็หยุดพูดไปเอง

...

แล้วได้กลับเมืองไทยบ่อยแค่ไหน

ปีหนึ่งกลับเมืองไทย 2 ครั้ง เดินทางมาเยี่ยมลูกๆ

“คุณมูนา” มีลูกทั้งหมดกี่คน

ที่เมืองไทยจะมีลูกชาย 2 คน เกิดกับสามีเก่า ส่วนที่ดูไบมีลูกสาวคนหนึ่งชื่อ “ซาราห์” และลูกชายคนหนึ่งชื่อ “อดิล” ซึ่งก็เรียนจบปริญญาแล้ว

เห็นสวยปิ๊งขนาดนี้ใครจะรู้ว่าเลยวัยแซยิดแล้ว มีเคล็ดลับอะไรให้เป็นสาวสองพันปี

...

เรื่องความสวยความสาวต้องยื้อให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อถึงตอนทำไม่ได้แล้วก็ต้องยอมรับสภาพ ถามว่า “มูนา” ทำศัลยกรรมไหม ก็ต้องบอกว่ามีบ้าง ฉีดโบท็อกซ์ และดึงหน้า แต่ขณะเดียวกัน เราก็บำรุงจากภายในด้วย โดยทุกเช้าจะดื่มน้ำผลไม้แยกกาก และงดมื้อเย็นมาหลายปีแล้วเพื่อรักษาหุ่น เพราะกลัวอ้วน ใครบอกว่านวัตกรรมไหนดี เราก็จะไปหามาลองใช้ ล่าสุด เพิ่งไปเจอโสมชะลอวัยสกัดแบบเข้มข้น เวิร์กมาก จ่ายไปปีละล้านสอง!!


ยังมีส่วนไหนที่อยากเสริมเติมแต่งให้สวยเซี้ยะอีกไหม

จริงๆเน้นบำรุงมากกว่านะ อายุ 60 กว่าแล้ว จะไปเสริมเติมแต่งอะไรหนักหนา ขอแค่เราแข็งแรงก็พอแล้ว แต่ชีวิตนี้ที่ขาดไม่ได้คือเครื่องเพชร เป็นคนชอบแต่งตัวสไตล์เยอะๆมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งไปอยู่เมืองแขกเลยเว่อร์ได้เต็มที่ แต่บางวันอยู่บ้านก็แต่งตัวธรรมดานะ เสื้อผ้าแพลทตินั่มก็มีเหมือนกัน เวลาอยู่บ้านที่ดูไบจะชอบทำอาหารทานเอง และการตั้งโต๊ะแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเลี้ยงคนเดียวหรือสิบคน อาหารก็ต้องเต็มโต๊ะ ทานหมดหรือไม่หมดก็ต้องจัดให้เต็มโต๊ะไว้ก่อน หน้าที่ของเราคือปรุงอาหารในครัว แต่ก็มีลูกมือคอยช่วย คิดว่าฝีมือการปรุงอาหารของหญิงไทยนี่เองที่มัดใจสามีอยู่หมัด แบบที่เรียกกันว่า “เสน่ห์ปลายจวัก” เขาจะชอบให้นวดให้เกาหลัง เราดูแลเอาใจทุกอย่างแบบสาวไทย คนอาหรับจะมีนิสัยอย่างหนึ่ง ต้องหมั่นถามไถ่เรื่องสุขภาพ ถ้าเขาไม่สบายแล้วไม่ถาม จะโกรธเลยนะ

จนถึงตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ดูไบมากี่ปีแล้ว ถือเป็นคนดูไบเต็มตัวหรือยัง

อยู่มา 20 กว่าปีแล้ว เป็นคนดูไบที่มีหัวใจไทย 100 เปอร์เซ็นต์!! สอนลูกให้พูดภาษาไทย สามีก็พูดภาษาไทยได้นะคะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา “มูนา” สู้รบตบมือกับคนเป็นร้อยที่ดูไบ ผ่านมาได้จนเป็น “มูนา” ทุกวันนี้ ก็เพราะเราเป็นคนแกร่ง...กล้า...สู้ และอดทนมากๆ อะไรที่คนอื่นทำไม่ได้ เรายิ่งต้องทำให้ได้

ถ้าอยากเจาะลึกให้ถึงกึ๋นกว่านี้ ร่วมผ่าดวง “ซินเดอเรลล่าแห่งดูไบ” ทุกซอกทุกมุม กับ “อ.ลักษณ์ เรขานิเทศ” พร้อมสองพิธีกรอารมณ์ดี “แหม่ม-สุริวิภา กุลตังวัฒนา” และ “มดดำ-คชาภา ตันเจริญ” ในรายการทอล์กทะลุดาว ออกอากาศวันพฤหัสฯที่ 2 ต.ค.นี้ เวลา 4 ทุ่ม 15 ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 HD.

ทีมข่าวหน้าสตรี