โขน ศิลปะวัฒนธรรมไทยอันทรงคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ได้ถูกถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ผ่านการแสดงบนเวที ผ่านเสียงดนตรีที่ขับกล่อมอย่างไพเราะหรือแม้แต่ผ่านการแต่งหน้าโขนสู่สายตาประชาชน 

'มันคือศาสตร์โบราณ เป็นศาสตร์ที่ไม่มีวันตาย'

"ไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสได้ไปชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและการแสดงโขนพระราชทาน พร้อมเจอะเจอกับคุณมนตรี  วัดละเอียด คณะกรรมการดำเนินการจัดการแสดงโขนพระราชทานและอาจารย์สอนแต่งหน้าโขนระดับปรมาจารย์ เลยไม่พลาดขอสัมภาษณ์อาจารย์ถึงเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ และเจาะลึกขั้นตอนการแต่งหน้าโขนแบบหมดเปลือกให้แฟนๆ ได้ฟังกัน…!

เฟส 1 - จุดเริ่มต้นการแต่งหน้าโขน … กว่าจะเป็นปรมาจารย์

Q : เริ่มแต่งหน้าโขนได้ยังไง มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ ?

มีโอกาสเริ่มแต่งหน้าโขนโดยการชักชวนของคุณหญิงต้น หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นเป็นช่างแต่งหน้าอยู่ แต่งหน้าให้คุณหญิงในภาพยนตร์เรื่องสุริโยทัย คุณหญิงเค้าคงเห็นในความสามารถและความสนใจของเรา เลยชักชวนมาให้ทดลองแต่งหน้าโขนหลังจากจบโปรเจกต์ เพราะว่าสมเด็จฯ ท่านมีดำริว่าอยากจะลองปรับการแต่งหน้าโขนให้สวยขึ้น ให้ดูเป็นไทยมากขึ้น แล้วเห็นว่าเราสนใจเกี่ยวกับเรื่องศิลปวัฒนธรรมด้วย เลยให้ทดลองมาทำ ซึ่งเริ่มทดลองทำจาการแสดงจริง ทดลองทำแล้วก็ปรับมาเรื่อยๆ ท่านก็มีพระราชวิจารณ์มาว่าสวยขึ้นแล้ว อาจลองปรับเป็นแบบนี้ดู แบบนี้ดู …

Q : ใช้เวลาฝึกนานไหม ?

ค่อยๆ มาทดลองทำ จนหลังจากนั้นค่อยมีการปรับว่าจะมีการทำหนังสือและมีการแสดงจริงขึ้น เราก็เลยต้องหารูปแบบ หาแหล่งอ้างอิง ตอนนั้นเป็นช่วงที่ต้องค้นคว้าเยอะเหมือนกัน เพราะเราต้องทำแบบมีหลักฐานอ้างอิงทั้งหมด ใช้เวลาพอสมควรเลย ซึ่งทำครั้งแรกก็ได้ความร่วมมือจากครูศิลปะโขนหลายท่านที่ช่วยมาเป็นแบบให้  ทดลองแต่งกันมาหลายๆ แบบ หลายๆ อย่างจนมาถึงการแสดงโขนจริง นับว่าเหนื่อยพอดูเลย

...

Q :  แรงบันดาลในการแต่งหน้าโขน ?

เริ่มจากโทรปรึกษาผู้รู้ก่อนเลย ท่านแรกเริ่มจากอาจารย์จักรพันธ์ ถามว่าเมคอัพที่ดูเป็นไทยหาจากตรงไหน เพราะตอนนั้นเรายังไม่รู้ไงว่าต้องดูตรงไหน ยังไง ท่านก็แนะนำว่าให้ดูที่คิ้วว่าคิ้วไทยต้องเป็นแบบไหน ท่านจะไม่บอกว่าเป็นแบบไหนชัดเจน แต่จะบอกว่าให้ลองไปดูคิ้วไว้ก่อนเป็นเมนหลัก เราก็ลองกลับมาดูพอลองทำแล้วก็ยังรู้สึกไม่ใช่ บางทีมันเป็นเรื่องนิดๆ หน่อยๆ เราต้องหาความสมดุลของหน้า หาข้อมูลอื่นประกอบทั้งจากภาพวาด จากภาพถ่าย จากโขนจริง จนเรามาลองทำแล้วคิดว่ามันโอเคล่ะ

Q : หลังจากนั้นทำยังไงต่อล่ะ ?

หลังจากนั้นก็มีปัญหาเรื่องการเขียนเส้นขอบตา จนมาปรึกษาคุณแม่ส่องชาติ ชื่นศิริ  ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติ เราก็ให้ท่านดูว่าเมคอัพที่เราทำใช้ได้ไหม ท่านก็บอกไม่ใช่ ยังต้องอีกนิดนึง ท่านบอกเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ จนท่านลุกขึ้นมาจับมือเขียนเลย (หัวเราะ) ท่านก็จะบอกว่าเส้นขอบตาต้องเป็นแบบนี้ แค่นั้นอ่ะครับ คือเราจะติดตรงที่แต่งคิ้วไทย แต่ตาเป็นบัลเล่ต์  ซึ่งเรายังหาเส้นขอบตาที่ใช่ไม่เจอ ถ้าดูจากภาพมันจะมีการสะบัดเส้น เราก็จะไปติดบนหน้าคนเราก็ไปสะบัดด้วย จนไปๆ มาๆ คุณแม่จับมือ บอกว่าต้องลงมาแบบนี้ๆ เราก็อ๋อ กว่าจะอ๋อ เป็นปีๆ (หัวเราะ) เพราะว่ามัวจะจับที่คิ้ว พอเราได้คิ้วและเส้นขอบตาเนี่ยความมั่นใจมาเลย แล้วหลังจากนั้นก็ลบทั้งหมดแล้ววาดใหม่ ช่วงหลังใช้เทคนิคนี้ ตอนแรกยังไม่ลบทั้งหมด ก็เลยเอ๊ะ … ตกลงมันจะยังไง

Q : ลองผิดลองถูกมาประมาณกี่ปี ?

ก่อนหน้าที่จะทำหนังสือก็ประมาณ 2-3 ปี ใช้เวลาลองถูกผิดมาพอสมควร แต่ส่วนมากแล้วเราจะปรึกษากับครูทั้งหลายว่าที่ทำไปครูชอบไหม แล้วก็ได้ที่ลงตัวจนสมเด็จฯ ท่านลงมาทอดพระเนตรเอง  หลังจากนั้นพอมาเริ่มพรหมมาศเนี่ย ครั้งแรกเลยพอมาดูตอนนั้นมันก็มีเสน่ห์นะ แต่ปีล่าสุดเนี่ยสวยมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ดูลงตัว จากล่าสุดจนถึงปีนี้คิดว่ามันโอเคในรูปแบบๆ นี้  ดูแล้วรู้ว่านี่คือหน้าโขนการแสดงของไทย และเมื่ออยู่รวมกับหน้าหัวโขนจริงก็ดูแล้วสวยได้ เมื่ออยู่บนเวทีก็ไม่ใช่หายไปหมด  หรือเมื่อดูใกล้ๆ นักแสดงเห็นหน้าตัวเองก็รู้สึกว่าไม่ได้น่ากลัว เพราะถ้านักแสดงเห็นหน้าตัวเองแล้วน่ากลัว เขาจะรับไม่ได้เลย

Q : ครูที่อาจารย์ปรึกษาสอนเทคนิคอะไรบ้าง ?

มีหลายท่านมาก แต่ละท่านจะลากเทคนิคสมัยท่านแต่งว่าแต่งอย่างไร เราก็เอาข้อมูลพวกนี้แล้วก็จากการศึกษาจากภาพ มาปรับให้เป็นปัจจุบัน เราจะแต่งหน้าให้เป็นปัจจุบัน แต่งหน้าสำหรับโขนพระราชทานในสมัย ร.9 ท่านสอนเกี่ยวกับเทคนิคการทำเส้นขอบตาให้ตรง ทำเส้นคิ้วให้เป็นเส้นโค้งเหมือนคันศร แม้แต่แก้มกับปาก ท่านก็จะบอกเทคนิคหมดเลย เราก็นำมาปรับให้ดูแล้วสวย เราต้องเข้าใจการแสดงโขน นายแบบ - นางแบบหรือว่านักแสดงจะไม่ยิ้มเห็นฟัน เราก็ต้องวาดให้เป็นหน้ายิ้ม ต้องคิดว่านี่เป็นหัวโขนอีกหัวหนึ่ง เป็นหน้ากาก เพราะการแสดงโขนไม่ได้เอาสีหน้า จะใช้ภาษาการแสดงท่าทาง จะรักจะเสียใจเป็นท่าหมด หน้าจริงๆ ต้องเฉยๆ ต้องวาดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น นักแสดงก็ต้องเข้าใจ....ต้องเนี๊ยบ

...

เฟส 2 - ขั้นตอนแต่งหน้าโขน …!

Q : เล่าขั้นตอนแต่งหน้าโขนให้ฟังหน่อย ?

ถ้าเริ่มของการแต่งหน้า เราไม่ได้ใช้เทคนิคโบราณ เราใช้เทคนิคปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่การเตรียมผิว ทำความสะอาด บำรุงผิวแล้วก็เมคอัพ ขั้นตอนเหมือนการแต่งหน้าปกติเลย

Q : แต่งหน้าเริ่มจากส่วนไหนก่อน ?

เราจะไล่จากส่วนบนลงล่าง คือพอเราเตรียมรองพื้นเสร็จ เราจะเริ่มที่เส้นขอบตา ภาษาทั่วไปเรียก อายไลเนอร์ แต่เราจะใช้คำเรียกว่า เส้นขอบตา เราจะทำเส้นขอบตาให้เป็นแนวตรงก่อนแล้วค่อยสะบัดหางไปตามมือ (ต้องฝึกมือ หัดบ่อยๆ ได้เอาแรงบันดาลใจมาจากภาพจิตรกรรมไทย เพราะฉะนั้น ช่างแต่งหน้าที่จะแต่งหน้าโขนได้สวย ถ้าหัดวาดเส้นให้ชำนาญก็จะทำให้ทำงานง่ายขึ้น) ตาแล้วก็เป็นคิ้ว แต่ก่อนเขียนคิ้วเราต้องลบคิ้วเดิมออกก่อน แล้ววาดใหม่ เพื่อวาดให้คิ้วโก้งเหมือนคันศร เอาหลักของจิตรกรรมไทยมาใช้ มันใช้เวลาตรงนี้เยอะ หลังจากนั้นก็เป็นแก้มกับปาก ทำแสงเงาบนหน้า ใช้เทคนิคปัจจุบันเลย

...

Q : เครื่องสำอางในการแต่งหน้าโขน ?

ปกติต้องใช้เครื่องสำอางกันน้ำ เพราะต้องกันเหงื่อ เพราะว่าการแสดงบนเวทีมันจะมีไฟเข้ามาเกี่ยว แล้วก็ชุด ซึ่งถ้าใช้เครื่องสำอางทั่วไปอาจจะทำให้ไหล เลอะ เละ ! (หัวเราะ)

Q : เครื่องสำอางหลักๆ ที่ต้องมีล่ะ ?

แน่ๆ ล่ะต้องมีรองพื้นและแป้งเพื่อฟิต เฉดสีของรองพื้นที่จะช่วยให้เกิดแสงเงาบนหน้า หลังจากนั้นต้องมีดินสอเขียนคิ้ว มีอายไลเนอร์ (สีแดง สีดำ)

Q : มีการเลือกเบอร์ เฉดสีเฉพาะสำหรับแต่งหน้าไหม ?

มีใช้แน่ๆ ต้องเฉดนี้ ประมาณนี้ แต่ขออนุญาตไม่ลงลึกรายละเอียดแบรนด์ (หัวเราะ) เพราะในการแต่งออกมา  ภาพรวมมันจะต้องออกมาเหมือนกัน คือหน้านักแสดงต้องเป็นโครงเดียวกัน แบบเวลาไปรวมอยู่กับหน้ายักษ์ หน้าลิง ก็จะเป็นเหมือนกับนี่เป็นหน้ากากอีกอันหนึ่ง ถ้าเป็นหน้าโขนสีหลักที่เราจะใช้คือสีขาว สีดำ และ สีแดง สีขาวของผิวหน้าทั้งหมด แต่เราเลือกขาวผ่องไม่ใช่ขาวโพลน สีดำของเส้นคิ้วและเส้นขอบตา ส่วนสีแดงคือส่วนแก้มและปากเป็นหลัก เพื่อที่อยู่บนเวทีแล้วจะทำให้เมคอัพนี้ดูสวย

...

Q : แต่งหน้าตัวพระ-ตัวนาง เหมือนหรือต่างกันยังไงบ้าง ?

วิธีการค่อนข้างเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงสไตล์ของเส้นคิ้ว ทรงคิ้ว เราจะสร้างขึ้นมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว คืออิงจากภาพจิตรกรรมไทยเป็นหลักแล้วก็หัวโขนเดิม หน้าโขนจริง คิ้วพระอาจจะต้องดูให้ใหญ่ ดูเข้มแข็ง ดูสวยสง่า แต่คิ้วนางต้องดูสงบ สิ่งที่ยากที่สุดคือการเอามาใส่ให้อยู่ในหน้าคนแล้วดูสวย

Q : แต่งตัวพระ ตัวนางใช้เวลากี่นาที ?

ปกติอยู่ที่ 1 ชม. เวลาบังคับ เพราะช่าง 1 คนต้องแต่งหน้าอย่างน้อย 3 หน้า ไม่งั้นจะต้องใช้ช่างเยอะมาก เพราะนักแสดงเยอะ เวลาจำกัด เราพยายามให้คนหนึ่งทำได้เยอะ คือเวลาเฉลี่ยจะตกอยู่ที่หน้าละ 1 ชม.

Q : ความยาก - ง่ายแต่งหน้าโขนกับแต่งหน้าทั่วไป ?

แต่งหน้าโขน ... ช่างต้องมีการฝึกมือ ฝึกวาดเป็นประจำและต้องมีความรู้เรื่องการแต่งหน้าสด การแสดงบนเวที อันนี้ขอมาร์คกว่าปกติ แต่ถ้าแต่งหน้าตัวเองอันนี้มันคนละสายกันเลย ก็คือจะบอกอะไรยากกว่ากันก็แล้วแต่นะ

Q : แล้วต่างจากการแต่งหน้าละคร/เวทีไหม ?

จริงๆ ก็ไม่ต่างกันมาก ขั้นตอนการแต่งเหมือนกันทุกอย่าง คือจะทำแบบสมัยใหม่เลย ตั้งแต่การเตรียมผิว รองพื้น อะไรต่างๆ แต่โขนเราจะเน้นที่คิ้ว กับเส้นขอบตาเพื่อให้ดูเป็นไทยมากขึ้น

Q : ฝึกนานไหม ประมาณกี่ปี ?

จริงๆ ไม่กี่เดือน คือเราอาจไม่ต้องใช้เวลาทุกวัน ส่วนมากถ้าก่อนการแสดงจริง 1 อาทิตย์ ช่างแต่งหน้าที่จะทำงานโขนต้องมารวมกันเพื่อให้ลองแต่ง และจำกัดในเรื่องของเวลา เพราะแต่งหน้าให้สวยต้องสวยได้ตามแบบ และจะต้องแต่งให้เร็ว … สวยให้ได้ตามแบบและเร็ว !!!

Q : สิ่งต้องระวังในการแต่งหน้าโขน ?

มี 2 สิ่งด้วยกัน สิ่งแรกคือความสมดุลของหน้า ทั้งซ้ายและขวาให้ดูหน้าตรงสวย แต่งข้างเดียวไม่ค่อยยากเท่าไหร่ แต่สองข้างนี่สิ (หัวเราะ) บางคนที่หัดแต่งเอง ดูด้านข้างสวยแต่พอดูหน้าตรงแล้วตกใจ ที่สำคัญของการแต่งหน้าคือต้องลืมตาแล้วสวย เพราะตัวแสดงเราต้องลืมตา อีกสิ่งที่ควรระวังเลยคือขนตาปลอม เราจะไม่ให้หน้าโขนมีขนตาปลอม เพราะว่าหน้าโขนจริงก็ไม่ใส่ขนตาปลอม พอลองมารื้อภาพดู การแสดงอื่นๆ ถ้าใส่ขนตาปลอมจะดูสวยดี แต่อันนี้คืออยากจะให้ดูเป็นหน้ากากเหมือนกับหน้าโขนอื่นๆ เลย พอลดขนตาลงไปมันดูมีความเป็นไทยมากขึ้น เพราะว่าขนตาอาจจะดูแบ๊ว เป็นแฟชั่นไปหน่อย

Q : ความแตกต่างที่คนมองแล้วรู้เลยว่านี่ของไทย ?

โคร่งคิ้วและเส้นขอบตา (สำคัญ) มีลักษณะเด่น ไม่เหมือนประเทศไหน ดึงคิ้วโก่งเหมือนคันศรมาใช้ เพราะคิ้วทรงนี้เข้ากับเครื่องประดับศีรษะ ชฎา หรืออะไรของไทยหมดเลย หรือถ้าเป็นเส้นขอบตาของยุโรปหางตายก แต่ของเราพยายามตรงแล้วค่อยพลิ้วไป

Q : เสน่ห์ของศาสตร์แต่งหน้าโขน ?

ทำยังไงให้ผู้เห็นปั๊บ แล้วรู้ว่าเป็นเมคอัพของใคร ซึ่งเราก็สามารถบอกได้ว่านี่คือของไทย (หัวเราะ) คือเห็นแค่หน้าแล้วรู้ว่านี่ไม่ใช่ญี่ปุ่น ไม่ใช่จีน เอ๊ะ ..แต่ว่าหน้านี้ไม่เคยมี หน้านี้เริ่มมีชัดเจนในยุคสมัยของสมเด็จฯ ประมาณนั้น

เฟส 3 - จุดสูงสุดการแต่งหน้าโขน !

Q : คิดว่าเสน่ห์ของโขนอยู่ตรงไหน ?

ทั้งหมดเลย เพราะโขนเป็นการแสดง เป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่รวมศาสตร์ ศิลปะทุกแขนงเอามารวมกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นโขนพระราชทานจะเป็นการรวมงานหลายๆ สาขา ให้ได้ภาพที่ออกมาแล้วมันวิจิตร

Q : คิดว่าการแต่งหน้าโขนเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการแสดงโขน ?

การแต่งหน้าเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมการแสดง เป็นส่วนที่เล็กที่สุด จริงๆ ยังมีส่วนอื่นๆ ที่สำคัญมากกว่าการแต่งหน้าโขน เช่น คนที่จะนำโขนได้ฝึกมาเป็น 10 ปี แม้แต่ดนตรีก็เรียนกันมานาน ทุกอย่างใช้เวลาเยอะมาก เพียงแค่เมคอัพใช้เวลาน้อยที่สุดในการเรียนและการฝึก ทั้งเมคอัพยังเป็นส่วนที่เห็นชัดที่สุด (เมคอัพเป็นจุดเล็กที่สุดเลยที่ช่วยเสริม แต่ก็เป็นจุดที่เห็นชัดที่สุดเช่นกัน)

Q : อาชีพแต่งหน้าโขนเป็นอาชีพที่มั่นคง ?

เราเรียกตัวเราว่าช่างแต่งหน้า แต่เราไม่ได้เรียกว่าเป็นอาชีพ เพราะโขนมีปีละไม่กี่ครั้ง พอเวลามีงานเราก็มาทำงานแต่งหน้ากัน พอเสร็จจากงานโขนเราก็เป็นช่างแต่งหน้าทั่วๆ ไปนี่แหละ ถ้าถามว่าอาชีพช่างแต่งหน้ามั่นคงไหม … มั่นคง !!

Q : ณ ตอนนี้ พอใจกับผลงานแล้วรึยัง ?

คิดว่าหลายปีมาแล้ว น่าจะอยู่ตัว คงที่แล้ว มันน่าจะเป็นรูปแบบที่น่าจะถ่ายทอดไปให้คนรุ่นหลังๆ ทำเป็นต้นแบบได้แล้ว มันไม่น่าจะเปลี่ยนอะไรไปมากกว่านี้ ถ้าในมุมของตัวเอง เราคิดเสมอว่างานของเราเป็นแค่การจุดประกายเพื่อให้คนรุ่นหลังอาจจะคิดได้มากกว่านี้ … มีแค่พัฒนาเด็ก พัฒนาคนรุ่นใหม่ให้ทำงานนี้ให้ได้

เฟส 4 - ฝากไว้แด่คนรุ่นหลัง....

Q : คิดว่าความสนใจของคนรุ่นหลังๆ เป็นยังไงบ้าง ?

มีความสนใจมากขึ้น อย่างงานที่จัดบัตรเต็ม ไม่พอตลอดเลย (ยิ้ม) จัด 50 รอบปีนี้ … พอถึงเวลาที่คนเขาชอบ เขาก็จะชอบเอง อย่าบังคับให้ใครมาชอบเหมือนกัน

Q : คนรุ่นใหม่ที่สนใจการแต่งหน้าโขน ต้องเรียนสายไหนพิเศษรึเปล่า ?

ก็ต้องเรียนแต่งหน้า เริ่มแรกอยากเป็นอะไรก็ต้องเรียนอันนั้น อยากเป็นช่างแต่งหน้าก็ต้องเรียนแต่งหน้า แต่อยากจะบอกว่าความสนใจของช่างแต่งหน้าไม่ได้มีแค่แต่งหน้า จริงๆ ต้องมีความรู้รอบตัว มีความชอบ มีความรัก เรื่องศิลปะ ถ้ามีไว้อยู่บ้างก็จะทำงานด้วยความสุข ทำให้เข้าใจมากขึ้น เพราะจริงๆ ทำงานด้วยความเข้าใจมันดีกว่าทำงานตามที่เขาสั่ง

Q : แล้วต้องมีการเตรียมตัวยังไงบ้าง เริ่มต้นเบสิก ?

ต้องฝึก อาจฝึกจากคนที่เขาเป็นอยู่แล้วและฝึกจากภาพ เริ่มแรกคือต้องฝึกเขียนเส้นขอบตาให้ได้ ถ้าเขาหมั่นดูภาพจิตรกรรมไทยประเพณี เขาจะค่อนข้างจับได้ว่าเส้นไทยเราไม่ได้มีมาก แต่ถ้าอยู่บนหน้ามันจะยากหน่อย เพราะหน้าไม่ได้เป็นกระดาษและหน้าก็ไม่ใช่หัวหุ่น (ทุกอย่างมันเป็นอาร์ตได้หมด อยู่ที่เราจะปรับยังไง) แต่บนหน้าจริงๆ มันยาก เพราะหน้าแต่ละคนโครงสร้างไม่เหมือนกัน แต่ว่าเราจะเทคนิคการแต่งหน้าสมัยใหม่ที่มีการปรับโครงหน้าให้ได้เป็นรูปไข่ก่อน มันจะได้เป็น shape รูปสามเหลี่ยม จากเส้นขอบปาก หางตา คิ้ว มันจะได้เป็นเส้นบังคับตามภาพจิตรกรรม

Q : แบบนี้ต้องฝึกกับหน้าตัวเองหรือหน้าคนอื่นล่ะ ?

เราต้องฝึกกับหน้าคนอื่นในฐานะเป็นช่างแต่งหน้า แต่นักแสดงโขนต้องฝึกเอง ฝึกกับหน้าตัวเอง ถ้าเขาต้องแต่งตัวเอง แต่ในฐานะที่เราเป็นช่างแต่งหน้า เราไม่ได้แสดง เราก็ต้องแต่งหน้าคนอื่น … จริงไหม? (หัวเราะ)

Q : สุดท้ายเชิญชวนให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจโขนมากขึ้น ?

อยากให้คนรุ่นใหม่สนใจศิลปะของชาติ ไม่ใช่เฉพาะโขนด้านไหนที่ชอบก็หันมาสนใจกัน มาลองดู ชีวิตไม่ได้มีอยู่อย่างเดียว มันมีหลายๆ อย่าง ลองหาอะไรอย่างอื่นที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยเจอมา อาจจะชอบก็ได้

อ่านบทสัมสัมภาษณ์กันอย่างจุใจไปแล้ว ใครที่สนใจอยากลองแต่งหน้าโขนดูบ้าง ก็ลองเอาเทคนิคของอาจารย์มาใช้กันได้นะ … แต่บอกเลยว่าการแต่งหน้าโขนนั้นไม่ง่ายเลยเพราะต้องมีความตั้งใจ ละเอียดอ่อนและใจเย็นแบบสุดๆ เลยล่ะ  !

ส่วนนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติก็ยังสามารถเข้าไปเยี่ยมชมกันได้ถึงวันอาทิตย์ที่ 17 ส.ค. นี้....

**รู้หรือไม่ ?**

1. นอกจากอาจารย์ขวดจะเป็นอาจารย์สอนแต่งหน้าโขนแล้ว ยังเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถาบันสอนแต่งหน้า MTI และเป็นอาจารย์สอนในรั้วมหาวิทยาลัยรังสิต คณะนิเทศศาสตร์ ด้านออกแบบแต่งหน้า (โขน,ละคร,เวที)

2. อาจารย์ยังทำงานเบื้องหลังภาพยนตร์ในส่วนการแต่งหน้าและดูแลด้านเครื่องแต่งกายให้นักแสดงหลายต่อหลายคน อย่างภาพยนตร์สุริโยทัย โรงแรมผี และภาพยนตร์ล่าสุดเรื่องแผลเก่า เป็นต้น.