ทั้งคู่ดูเหมือน 'เพื่อน' มากกว่า 'หมอ'
เวลาอยู่ใกล้ๆ คุณจะหลงรักพวกเขาได้ไม่ยาก เพราะนอกจากจะเป็นนักเล่าเรื่องราวตัวยงที่ไม่เฉพาะเรื่องความสวยความงาม เรื่องท่องเที่ยวในราคาถูกๆ ลองฟังเรื่องเล่าและราคาแล้วคุณจะอยากไปเที่ยว
"ไปแคชเมียร์ 7 วัน ใช้เงินไป 2 หมื่นกว่าบาท..." เรื่องความพยายามก็เป็นอีกหนึ่งที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง จากสอบตก 6 วิชา วันนี้กลายเป็นหมอรุ่นใหม่ที่น่าจับตา หรือจากสาวเนิร์ด ชีวิตง่ายๆ กลายเป็นคนที่อุทิศเพื่องาน
ในวันที่ทั้งคู่คิวทอง ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสสัมภาษณ์ นพ.ดิสพงศ์ ปณิฐาภรณ์ กับ พญ.นิโลบล เจริญวุฒิ 2 คู่ซี้ หมอหนุ่มหล่อ สาวสวยสุดฮอต ที่ไฮโซและดาราแห่มารักษาผิวหน้ากันถล่มทลายมาถ่ายทอดเรื่องราวสนุก ฮา และเป็นแรงบันดาลใจในอาชีพนี้ทั้งหมดให้ฟังกัน
เด็กเรียนดี เส้นทางชีวิตราบเรียบ...!
หลิน กับ พี่โจ้ เราโตมาคนละแบบ...! หมอสาวยิ้มหวาน หวานน่ารักเหมือนหน้าตาเล่าว่าตอนเด็กๆ ฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตสกับหมอ เหมือนผู้หญิงทั่วไป พอต่อมาหน่อยบังเอิญเรียนพอใช้ได้เรียนดีหน่อย พ่อแม่ก็แนะนำให้เรียนหมอ
...
"เรียกดีนิดหน่อยคือเราได้ที่ 1-3 ติดอยู่ในกลุ่มนี้ตลอด พ่อแม่เลยบอกว่าน่าจะเอ็นท์ฯ แพทย์ดีกว่าตอนนั้นก็อ่านหนังสือติวเพียบ (หัวเราะ) ที่สุดก็ติดคณะแพทย์ฯ ม.รังสิต เป็น 6 ปีที่ชิลมากมากๆ ไม่เครียดเหมือนกับที่ใครๆ บอกส่วนหนึ่งเราเรียนพอให้ผ่าน ไม่ได้หวังเกียรตินิยม หลังจากนั้นก็ไปทำงานใช้ทุนต่างจังหวัด 2 ปี เป็นประสบการณ์ที่ดี แต่แอบโหดเหมือนกัน"
หมอหลินบอกว่า หน้าที่ส่วนใหญ่รักษาโรคทั่วไปตั้งแต่เล็กยันผ่าตัดทำคลอดใหญ่ แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
"จริงๆ ก่อนหน้าเราก็เคยทำคลอดมาแล้วนะ เพราะเคสต่างจังหวัดคลอดธรรมชาติพยาบาลเขาเป็นคนทำ แต่ถ้ามีปัญหาก็จะเรียกหมอ ซึ่งเราเข้าเวรนั้นพอดี เป็นเคสที่เลือดไหลไม่หยุด เนื่องจากมดลูกเขาไม่หดตัวคนไข้ก็ช็อก เราก็แก้สถานการณ์ไม่ได้หลับทั้งคืนแต่เขาปลอดภัยเราก็ดีใจ"
หมอสาวสวย ย้ำว่า หลังจากทำงานใช้ทุนมาเรียนต่อเกี่ยวกับผิวหนังที่ชื่นชอบ เนื่องจากใจเย็น ชอบรับฟังและช่างอธิบาย แถมสาขานี้ได้รู้วิธีดูแลตัวเอง
เด็กเรียนแย่ เส้นทางไม่ราบรื่น...
ชีวิตผมแตกต่างกับหลินอย่างสิ้นเชิง...หมอโจ้หัวเราะเสียงดัง เด็กๆ ตนเองเป็นคนเรียนไม่เก่ง สอบตก 6 วิชาหลังจากนั้นมีโอกาสได้เข้า
มาเรียนมัธยมที่อัสสัมชัญฯ ก็เปลี่ยนตัวเองจากเด็กที่ตกมากมาย จนต้องกลับมาทนทวนตัวเองว่าชีวิตจะลำบากมาก ประจวบว่าที่นี่มีการจับมาสอบเพื่อจัดเรียงห้องใหม่จาก 500 คน เอา 100 คน โชคดีที่สอบได้คนที่ 90 กว่า (หัวเราะ) จึงมีโอกาสได้เข้าไปเรียนที่ห้องคิงส์
"ผมโชคดีที่ขณะนั้นอัสสัมชัญฯ มีโครงการปั้น 100 คนเอ็นท์ฯ ติดให้ได้โครงการแรกก็เลยตั้งใจบอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้ พร้อมกับได้อาจารย์เป็นปรึกษาท่านก็ให้คำแนะนำ ที่สุดก็มาเอ็นท์ติดแพทย์ที่รามาฯได้เพราะอ่านหนังสือทุกวันมีความมุ่งมั่น มีสังคม และเพื่อนที่ดี ประถมผมตก 6 วิชา เลข ภาษาพื้นฐานไม่ดี จบมาได้ที่ 3 ของห้อง (เกรดเฉลี่ย 3.8 เกียรติยมอันดับ 1) ผมเป็นบทพิสูจน์ว่าถ้าเราพยายามมากๆ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้"
หมอโจ้บอกว่า ชีวิตเรียนหมอที่รามาฯดีมาก ไม่แตกต่างจากหลินเป็นช่วงชีวิตที่ชื่นชอบ เพราะเห็นความรักกันฉันพี่น้องบรรยากาศช่วยกันเหมือนตอนที่เราเรียนอัสสัมชัญ คนเก่งก็มาช่วยคนที่อ่อนกว่า ที่สุดก็จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยเกือบเกียรตินิยม
"ที่นี่ผมเรียนแบบไม่ตั้งใจว่าจะทำให้ได้เกียรตินิยม แค่คิดว่าจะตรวจคนไข้ให้ได้ดีทุกวัน อยากเรียนรู้ประสบการณ์การดูแลคนไข้มากกว่า หลังจากเรียนจบก็ไปใช้ทุน ผมไปอ่างทอง ได้อยู่โรงพยาบาลใหญ่ และได้รู้จักพี่หมอผิวหนัง พอได้สนิทเขาก็แนะนำให้มาเรียนเกี่ยวกับด้านผิวหนังที่ต่างประเทศประจวบกับเราเป็นคนที่ชอบภาษาอังกฤษ เขาเลยช่วยประสานงานให้ แต่เราไปปรากฏว่าคนเต็มแล้ว ซึ่งเขาก็ให้ทำแบบฝึกหัดเอาไว้ 1 อาทิตย์ผ่านไป ที่โรงเรียนก็โทรมาหาบอกว่าให้เข้าไปสัมภาษณ์อีกครั้ง พร้อมกับให้สมัครใหม่ สุดท้ายก็ได้เรียนในที่สุด"
...
เมื่อความต่างโคจรมาเจอกัน...!
"เรามาสนิทกันหลังจบมากกว่า..." ทั้งคู่รำลึกความหลัง
"จริงๆ จะเรียกว่าสนิทกันระหว่างเรียนก็ระดับหนึ่งมีปรึกษากันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ปรึกษากันทุกเรื่อง เพราะชีวิตเราแตกต่างกัน เนื่องจากผมทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจึงไม่ค่อยมีเวลา หมอหลินเรียนเสร็จก็ไปเดินห้างช็อปปิ้ง แต่เนื่องจากเขาเป็นคนชอบช่วยเหลือ เป็นคนเลคเชอร์ดี มาก พวกเราก็อาศัยเอาเลคเชอร์ของเขามาอ่าน เพราะหลินเขาจะนั่งหน้าชั้นเรียนสุด"
เธอหัวเราะน่ารักและว่า เข้าใจเพราะว่าเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคนต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเราก็ทำเลคเชอร์โน้ตให้ คือตอนเย็นเราว่างมาก กว่าคนอื่นไว ไม่ต้องไปช่วยงานครอบครัว แล้วเราก็ชอบช่วยเหลือคนอื่น ใครมีปัญหาอะไรเราก็จะเช้าไปช่วย มีปัญหาสอบไม่ผ่าน หรือไม่มีเวลาเราก็จะทำเล็กเชอร์โน้ตเอาไว้ให้
"ถามว่ามีเรื่องสนุกๆ ไหม เรียกว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เพราะส่วนใหญ่ต่างชาติจะเยอะมาก ดังนั้นคนไทยจึงเกาะกลุ่ม มาสนิทกันหลังจบมากกว่า ส่วนใหญ่หลินปรึกษาเรื่องการทำงานเป็นอย่างไร จริงๆ เราไม่มั่นใจฟิวส์นี้ว่าเหมาะไหม ก็ได้พี่เขาแนะนำ"
...
หมอหนุ่มบอกว่า หลังจากจบออกมา แม้จะทำงานคนละที่ แต่ก็มีเวลาคุย ปรึกษากันมากขึ้น โดยปัญหาที่คิดเหมือนกันคือมีความอึดอัดในโรงพยาบาลเอกชน เราอยากทำอะไรก็ไม่ได้ อุปกรณ์ไม่ครบเหมือนกับที่เราเรียน (สถาบันโรคผิวหนัง) ซึ่งเป็นที่ที่มีเครื่องมือชั้นนำที่สุดในประเทศ รักษาไปก็ไม่หายจริง จึงตัดสินใจออกมาเปิดคลินิกของเราเองแบบไม่มีเงินทุน (หัวเราะ)อะไรมากมาย
"ตอนที่ผมเปิดคลินิกอยู่ในหมู่บ้านคนก็มารักษากันเยอะ ดาราก็มารักษา พอหายก็แนะนำคนโน่นนี่มา แล้วผมชอบหมอหลินที่ชอบคุยกับคนไข้ให้เวลาดูแลมากขึ้น เหมือนกับดูแลกันมา ผมกับหมอหลิน เราให้เวลาคนไข้นานๆ เพราะเชื่อว่าถ้ารักษาผิวหนัง แค่นั้นมันไม่จบ เราต้องดูแลสภาพจิตใจเขาด้วย พอเขาไว้ใจเรา เราเตือนอะไรเขาก็ฟัง การรักษาก็จะดีขึ้น ก็ชวนหมอหลินมา หมอหลินก็สไตล์เดียวกันคือให้เวลากับคนไข้ ประสบความสำเร็จกับคลินิกชานเมืองนอกจากบริเวณย่านนั้นก็เริ่มมีลูกค้าจากไกลๆ มารักษา ดาราเร่ิมติด จึงตัดสินใจอีกครั้งว่าเข้าเมืองกัน"
คลินิกดังปากสู่ปาก แต่มาแบบติดลบ...!
...
มีเงินล้านกว่าบาท เรามาสยามแบบติดลบ...หมอโจ้บอก ติดลบเพราะที่นี่มีแต่คลินิกแบรนด์ใหญ่ แถมเงินที่มีก็ไม่ได้มากมายอะไร ทำร้าน ซื้อเครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องการฝันว่าอยากจะมี ยังต้องต่อรองขอผ่อนส่งให้
"เทียบกับวันนี้ที่คนแน่นขนัด วันแรกๆ คนน้อยมากๆ เพราะเราไม่มีเงินโปรโมต แล้วคู่แข่งขันแบรนด์ดังก็มีมากมาย อย่างที่บอกค่าตกแต่งยังต่อแล้วต่ออีก อยากได้เครื่องเลเซอร์ดีๆ ที่ฝันเอาไว้ ก็ต้องเข้าไปขอผ่อนเพราะเรามีเงินหลักแสน แต่ราคาเครื่อง 4 ล้าน ถึงกระทั่งบอกว่าขอเวลาผ่อนสิบเดือน ถ้าไม่ไหวก็ยึดเครื่องไปเลย"
สรุป ไม่เพียงรอดวันนี้หมอไฮโซทั้ง 2 คนถือว่าคิวทองมากมาย เคล็ดลับง่ายๆ ต้องมีจรรยาบรรณ อย่างที่บอกเราไม่ได้เร่ิมด้วยธุรกิจเป็นหลัก แต่เร่ิมต้นด้วยหัวใจรัก ที่อยากให้เขามีสิ่งที่ดี 4 ปีเราไม่เคยเพิ่มเงินเดือน ซึ่งก่อนออกมาหมอหลินได้เงินเดือนหลายแสนแต่มาอยู่นี้เงินเดือนผมกับหมอหลินไม่ขึ้น แต่มันได้ความภูมิใจ ยั่งยืนเพราะถ้าทำงานแบบสบายใจ มันมีความสุข นี่คือปรัญชาของเราทั้ง 2 คน
ชอบท่องเที่ยว..
'พวกเราตั้งเป้าว่า 1 ปีจะเที่ยวต่างประเทศ 3 ครั้ง นอกจากเรื่องงานที่เต็มที่แล้ว เรื่องท่องเที่ยว 2 คนก็เต็มที่กับชีวิตเหมือนกัน
"ผมชอบเที่ยว ไปไม่ต่ำกว่าสิบประเทศไปเพราะอยากเปิดโลกทัศน์และให้รางวัลกับชีวิต..." หมอโจ้บอกก็จะเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เที่ยวเสมอทุกๆ ปี
"ผมชอบแคชเมียร์ และอินเดีย มันรวมทั้งหมดตั้งแต่ดีสุดยันแย่ที่สุด มันหดหู่ มีแต่ทหารเต็มไปหมด เป็นที่ที่พร้อมจะระเบิดตลอดเวลา แคชเมียร์อยู่ระหว่างปากีสถาน และอินเดีย ซึ่งเขากำลังจะแย่งเมืองนี้กัน มันจะมีระเบิดตลอดเวลา ระหว่งที่เราไปเที่ยวก็จะมีแต่ทหารอยู่เต็มไปหมด ผมจะไปเอง ไม่ซื้อทัวร์ดังนั้นก่อนจะไปเราต้องหาข้อมูลให้มากที่สุด เชื่อหรือเปล่าผมไปเที่ยวถูกที่สุดใช้เงินแค่ 2 หมื่นกว่าบาทเองอยู่ 7 วัน คนไข้แนะนำทริกการใช้เงินให้ (หัวเราะ) ผมชอบไปสบาย แต่ว่าต้องประหยัด กินก็เต็มที่ แต่ไม่ได้ไปชนิดต้องนั่งลีมูซีน รถไฟได้ เรือได้ รถอะไรก็ได้ เดินก็ได้ ไม่เรื่องมาก กลับมาเราก็มีความสุข เป็นประเทศที่สนุกมาก ใครเจอผมก็จะเล่าเขาก็ตามการบ้านเราไป กลับมาเสียไป 2 หมื่นกว่าๆ เหมือนกันฟินกันไป
'หลินเป็นคนชอบดูแล เป็นแม่บ้านประจำทริป' หมอโจ้แซว
'หลินชอบประเทศญี่ปุ่น มันง่ายและใกล้ ข้อดีของญี่ปุ่นคือไปที่เดียวกัน แต่ไปคนฤดูอารมณ์ก็แตกต่างกัน ฤดูร้อนก็บรรยากาศอีกแบบหนึ่งฤดูหนาวก็อีกแบบหนึ่ง หิมะก็อีกแบบหนึ่ง อาหารการกินผู้คนก็แตกต่างกัน ส่วนใหญ่หลินไปกิน ไปเที่ยว เราชอบกิน ไปให้รางวัลกับชีวิต "
ส่วนสถานที่ที่ทั้งคู่ไปด้วยกันแล้วมันสุดเหวี่ยงก็คือที่ 'มิลาน'
"เป็นทริปที่เราไปเรียนเรื่องแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ไปเที่ยวอาทิตย์หนึ่ง ครั้งนั้นไปได้ไปหลายเมือง กินช็อปกระจาย สนุกมาก เพื่อพักผ่อนแล้วก็หาแรงบันดาลใจ เนื่องจากตลอดปีเราทำงานไม่มีวันหยุดเลยเพราะตรวจอย่างเดียว เราทำเองหมด ทุกเคสผ่านมือเราทุกเคส"
ฟันธง เทรนด์เอาต์และเทรนด์อินในวงการ
สุดท้ายขอให้ทั้งคู่เป็นหมอฟันธงเรื่องเทรนด์อิน และเอาต์ในเมืองไทย
"เร่ิมจากเอาต์ก่อน 'ฟิลเลอร์' เพราะมันเสี่ยงเยอะไป ถ้าฉีดไม่ดีอันตราย ถึงฉีดดีก็ไม่สามารถป้องกันได้ 100% 'ฉีดสิว' มันเป็นการฉีด
สเตอรอยด์ยุบจริง แต่มันมีผลข้างเคียงเยอะ 'ร้อยไหม' ไม่ถึงกับเอาต์ แต่คนจะคิดที่จะร้อยมากขึ้น โดยเฉพาะมีข่าวเรื่องร้อยไหมเถื่อนมากขึ้น คนจึงกลัว แต่ก็ยังมีคุณหมอทำดีๆ เยอะทำอะไรต้องศึกษาก่อนให้ดี" ทั้งคู่กล่าว
ส่วน อินเทรนด์ 1.การรักษาสิวและฝ้า ด้วยการรักษาผิว เน้นผิวแข็งแรง ไม่เลี้ยงไข้ ไม่เอาเร็ว 2.เทรนด์ในการออกกำลังกาย แอนไทเอจจิ้ง (Anti-Aging) เลือกทาน ออกกำลังกาย ดูแลแบบองค์รวมมากขึ้น 3.เทรนด์การไม่ผ่าตัด จะพยายามสวยด้วยสไตล์ฉันเอง ฉันหน้าตาอย่างนี้ ฉันก็จะสวยแบบที่ฉันเป็นจะไม่พยายามเป็นคนอื่น
สุดท้ายเมื่อถามถึงอนาคตหลังจากนี้ พวกเขาทั้งคู่พูดตรงกันว่า อยากจะทำปณิธานการรักษาที่ดีของเราต่อไป แล้วจะให้โอกาสหมอรุ่นใหม่ เพื่อผลิตบุคลากรดีๆ ให้กับวงการนี้มากๆ แบบที่ตั้งใจเอาไว้.