ถือเป็นสัปดาห์แห่งความเครียดของคนไทยอย่างแท้จริง!! กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ส่งสัญญาณเตือนประชาชนให้ระวังโรคเครียดคุกคาม โดยเฉพาะคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองใกล้ชิดเกินไป จนทำลายสุขภาพร่างกายไม่รู้ตัว ส่งผลให้ปวดหัว, นอนไม่หลับ, ใจสั่น, ใจเต้นเร็วผิดปกติ, อ่อนเพลีย, ท้องอืด, อาหารไม่ย่อย ยิ่งเครียดสะสมมากเท่าไหร่ก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง หรือแม้แต่มะเร็ง ล้วนแต่มีสาเหตุมาจากความเครียดสูงปรี๊ดทะลุปรอททั้งนั้น

เพื่อรับมือกับโรคเครียด ภัยเงียบคุกคามสุขภาพคนไทย ซึ่งเป็นตัวการสำคัญก่อให้เกิดโรคร้ายนับไม่ถ้วน “นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร” ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน ขอถอดเสื้อกาวน์สูตินรีแพทย์ชั่วครู่ แล้วมารับบท “เพชฌฆาตความเครียด” ชวนคนไทยพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เพื่อต่อสู้กับความเครียดอย่างชาญฉลาด โดยเริ่มจากพื้นฐานง่ายๆคือ การรู้จักรักและเมตตาตัวเองจริงๆ ต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าเราเครียด ถึงจะเอาชนะความเครียดสำเร็จ

คนไทยยุคนี้ต้องผจญกับความเครียดรุนแรงขนาดไหน

...

ผมอยู่โรงพยาบาลมานานนับสิบๆปี และคลุกคลีกับคนไข้เยอะ ทำให้ได้เห็นว่าความเครียดสามารถทำให้โรคธรรมดาๆหนักหน่วงรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกัน คนไทยก็มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคเครียดเพิ่มสูงขึ้นมาก จากผลการศึกษามาหลายปี ผมค้นพบว่า จิตใจ-สมอง-ร่างกาย มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันลึกซึ้ง ที่จริงร่างกายของเราเป็นแค่เนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ร่างกายทำงานได้เพราะสมองเป็นตัวสร้างสารเคมี สร้างฮอร์โมน และส่งกระแสประสาทไปควบคุมการทำงานของเซลล์ต่างๆ ตัวสมองจะทำงานได้ก็ต้องผ่านจิตอีกรอบหนึ่ง ซึ่งตรงนี้เป็นที่มาของทฤษฎีจิตสั่งการสมองและร่างกาย ถ้าจิตส่งสัญญาณที่เป็นบวก สมองก็จะหลั่งสารเคมีดีๆออกมาเต็มไปหมด ทำให้ร่างกายมีฮอร์โมนสมดุล และร่างกายมีภูมิต้านทานสูง หัวใจเต้นปกติ หลอดเลือดไม่แข็งตัว ตรงกันข้าม ถ้าสัญญาณที่ออกจากจิตไปยังสมองเป็นเนคกาทีฟ สมองก็จะหลั่งสารเคมีที่เป็นความเครียด โดยตัวร้ายสุดคือ “คอร์ติซอล ฮอร์โมน” จากต่อมหมวกไต สิ่งเหล่านี้จะวนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบ พอร่างกายเจ็บป่วย ก็ส่งสัญญาณไปที่สมอง กระตุ้นให้สมองหลั่งสารความเครียด สมองที่เครียดและมึนมีผลต่อจิตใจ ทำให้จิตใจวิตกกังวลซึมเศร้า

อะไรคือสัญญาณอันตรายบ่งชี้ว่ากำลังเป็นโรคเครียดเรื้อรัง

ความเครียดเกิดจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เช่น สภาพเศรษฐกิจ, สถานการณ์บ้านเมือง และปัญหาครอบครัว กับปัจจัยภายในที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะความวิตกกังวล และความคาดหวัง อาการบ่งบอกว่าเป็นโรคเครียดเรื้อรังคือ ปวดศีรษะแทบทุกวัน, เป็นไมเกรน, อ่อนเพลีย, อ่อนล้า, นอนไม่หลับ, กรดไหลย้อน, ท้องอืด, เบื่ออาหาร, ความดันโลหิตสูง, ใจสั่น, ใจหวิว, มือไม้เหงื่อออก, การทำงานของระบบลำไส้ช้าลง และเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้ภูมิต้านทานต่ำ และร่างกายติดเชื้อง่าย อาการเหล่านี้พร้อมก่อตัวเป็นโรคร้ายรุนแรง ทั้งโรคมะเร็ง, ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ปริมาณความรุนแรงของความเครียดไม่เกี่ยวกับขนาด แต่เป็นเรื่องของการหมกมุ่นในความคิดและระดับการปรุงแต่งความคิดที่มากเกินจริง

ทำไมคุณหมอหันมาสนใจศาสตร์ทางเลือกแขนงนี้

ผมเจอกับตัวเอง เพราะผมป่วยเป็นแผลในกระเพาะตั้งแต่ชั้นมัธยม ไปไหนก็ต้องพกยาเคลือบกระเพาะไปด้วย พอมาเรียนหมอ อาการยิ่งกำเริบหนักขึ้น ผมกลืนแป้งและเอกซเรย์ดูจนเจอแผลในกระเพาะใหญ่พอสมควร ก็ต้องกินยารักษาไปตามอาการ หลังเรียนจบออกมาทำงานเป็นแพทย์เต็มตัวที่ รพ.วชิรพยาบาล คราวนี้ยิ่งเครียดหนัก เพราะต้องแบกความรับผิดชอบเยอะขึ้น ชีวิตเต็มไปด้วยความคาดหวัง ผมปวดท้องจนกินยาไม่หาย ไปนอนส่องกล้องเจอแผลใหญ่และมีผังพืดติดในกระเพาะอาหาร ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเปลี่ยนชีวิตตัวเอง และหันมาหาศาสตร์ทางเลือกต่างๆเมื่อ 18 ปีที่แล้ว

หลังจากค้นพบทางสว่าง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด

เชื่อไหมว่า 18 ปีที่ผ่านมา หลังเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตใหม่หมด ผมหายป่วยไปเลย ไม่ต้องกินยารักษาโรคกระเพาะแล้ว ผมโชคดีที่ความเครียดมาเตือนผมแค่เบาะๆ ด้วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ได้มาเตือนผมด้วยโรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เมื่อผมฉุกคิดได้เร็วและเปลี่ยนตัวเองทัน จึงถือว่าโชคดีที่สุด สิ่งแรกที่ผมทำตอนนั้นคือ พยายามหาต้นเหตุให้เจอว่าอะไรทำให้เครียด ผมค้นพบว่าตัวเองเครียดเพราะบ้านกับที่ทำงานอยู่ไกลกันมาก ต้องตื่นแต่เช้ามืดฝ่ารถติดมาทำงานทุกวัน ผมเป็นสูตินรีแพทย์ต้องถูกตามตัวทำคลอดตอนกลางคืน ผมต้องวิ่งไปทำงานคลินิกนอกเพื่อหาเงินเพิ่ม ไหนจะพะวงกับการเขียนงานวิชาการ และต้องวิ่งไปสอนนักศึกษาแพทย์ ผมทนอยู่ในสภาพนี้ 4 ปี กระทั่งบอกตัวเองว่าต่อให้ผมรวยล้นฟ้า แต่ต้องตื่นขึ้นมาปวดท้องทุกวัน ไปไหนกินอะไรก็จุก แบบนี้ลาภยศสรรเสริญชื่อเสียงเงินทอง ไม่มีประโยชน์เลย!! ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการเปลี่ยนที่ทำงานให้มาอยู่ใกล้บ้านมากขึ้น จากนั้นก็ตั้งใจศึกษาศาสตร์การแพทย์ทางเลือกทุกแขนง ผมเริ่มศึกษาศาสนา, ฝึกปฏิบัติธรรม, ออกกำลังกาย และใช้พลัง บำบัดทุกอย่าง จากที่เคยวิ่ง 1 กิโลเมตร แล้วเหนื่อย ผมสามารถลงแข่งวิ่งมาราธอนสบายๆ คือร่างกายฟิตกว่าตอนเป็นนักเรียนแพทย์ซะอีก ทุกอย่างอยู่ที่ใจล้วนๆ

...

สำหรับมือใหม่หัดปลดล็อกความเครียด แนะนำให้เริ่มต้นอย่างไร

หนทางดีที่สุดประกอบด้วย การสวดมนต์, การทำสมาธิฝึกจิตให้สงบ และการเจริญสติ เราสามารถเริ่มได้เองจากการทำสมาธิ โดยมีจิตจดจ่อกับอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด การสวดมนต์เป็นการทำสมาธิขั้นต้นที่ดีมาก แต่แนวทางที่ผมชอบคือ การฝึกชี่กงเพื่อทำสมาธิด้วยการเดินลมปราณ พอฝึกไประยะหนึ่งเราจะละเอียดกับความรู้สึกของตัวเอง จนสามารถควบคุมพลังเข้าออกในร่างกาย คนที่ทำสมาธิไม่สำเร็จเป็นเพราะตั้งใจเกินไป และจิตมักจะหลุด หรือไม่ก็หลับ ผมจะแนะนำเลยให้นั่งสบายๆและฟังเสียงดนตรีที่มีจังหวะใกล้กับคลื่นหัวใจ ปล่อยให้จิตผ่อนคลายสบายๆ อันนี้คือการทำสมาธิระดับตื้นแล้ว ขั้นต่อไปค่อยฝึกกำหนดลมหายใจเพื่อทำสมาธิในระดับละเอียด มีการพิสูจน์แล้วว่า เราสามารถเยียวยาโรคร้ายด้วยพลังแห่ง สมาธิ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้เท่าทันความเครียดและยอมรับว่าเราเครียด เพื่อวางหมากในการต่อสู้กับความเครียดอย่างฉลาด จะได้มีชีวิตใหม่ดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น การงานดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น

จิตที่ดีกับนิสัยชิลๆต่างกันไหม แล้วจิตที่ดีจะทำให้ไม่แอคทีฟหรือเปล่า

คนชิลๆเรื่อยเปื่อยไม่กระตือรือร้นเป็นจิตเฉื่อยชาไม่ใช่จิตที่ดี แต่จิตที่ดีต้องเป็นจิตตื่นรู้ด้วยการทำวิปัสสนา และจิตที่สงบด้วยการสวดมนต์ทำสมาธิ

โลกตะวันตกให้การยอมรับศาสตร์แขนงนี้หรือยัง

ชาติตะวันตกกำลังตื่นตัวมาก โดยมี “ดร.จอน คาบาท-ซิน” นักชีวโมเลกุลชื่อดังจากมหาวิทยาลัยแพทย์แมสซา–ชูเสตต์ สหรัฐอเมริกา เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดด้านนี้ตั้งแต่เมื่อ 3 ทศวรรษที่แล้ว ผ่านการศึกษาพุทธศาสนานิกายเซน และการฝึกหัตถะโยคะ ด็อกเตอร์ท่านนี้ได้ออกแบบโปรแกรม 8 สัปดาห์ การเจริญสติลดเครียด เมื่อ 34 ปีที่แล้ว โดยใช้การเจริญสติแบบพุทธเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผสมผสานทั้งการนั่งสมาธิ, กำหนดรู้ลมหายใจ, การเดินอย่างมีสติ, การกำหนดสติกับอิริยาบถต่างๆในชีวิตประจำวัน และการเจริญสติด้วยวิธีการอื่นๆ อาทิ การทำอาสนะโยคะ, การทำบอดี้สแกน และการเขียนบันทึกความรู้สึกที่เกิดขึ้น หลักคิดของเขาคือ จิตใจมนุษย์เรามักจะตึ๊งๆๆไปตรงโน้นตรงนี้ ตึ๊งไปที่อดีต รู้สึกเสียใจเสียดาย เดี๋ยวก็ตึ๊งไปอนาคต เพราะวิตกกังวล และคาดหวังกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จิตอยู่กับปัจจุบันน้อยมาก โปรแกรมนี้จะเทรนให้เราตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน โดยนำหลักพุทธศาสนามาปรับใช้ เวลาเราฝึกแบบนี้บ่อยๆ จิตที่เคยฟุ้งซ่านตึ๊งๆไปตรงโน้นตรงนี้ก็จะค่อยๆกลับมาจดจ่อกับปัจจุบัน ทันทีที่จิตนิ่ง เชื่อไหมครับว่าความทุกข์หายไปเลย อาการเจ็บป่วยทุเลาลง การกลับมาเป็นโรคซ้ำก็น้อยลง สิ่งเหล่านี้เป็นการรักษาแนวใหม่ที่กำลังมาแรงทั่วโลก ไม่ได้รักษาเฉพาะความเจ็บป่วย แต่ตั้งรับเพื่อป้องกันก่อนเกิดโรค

...

กุญแจไขสู่ความสุขยั่งยืนมีจริงไหม

การเอาชนะความเครียดที่ดีที่สุด ต้องเริ่มจากการรักและเมตตาตัวเองอย่างจริงใจ ลองหมั่นสังเกตจิตใจและร่างกายของเราว่ารู้สึกอย่างไร จะได้รู้ว่าเริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นตรงไหน เคยได้ยินไหมครับว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว!! ฉะนั้นต้องเริ่มแก้ที่จิตใจเป็นอันดับแรก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าธรรมะทั้งปวงล้วนไหลมาจากเหตุ และธรรมะทั้งปวงล้วนมีใจเป็นใหญ่ คือใจเป็นประธาน ถ้าเราสามารถวางใจไว้ได้ถูกที่ถูกทาง ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ประสบความสำเร็จ จิตที่ดีจะส่งสัญญาณบวกไปยังสมอง ส่วนจิตที่เครียดเป็นพลังลบที่เราแผ่ออกไป และมีผลกระทบต่อผู้คนรอบข้าง ปัญหาที่คนส่วนใหญ่เจอคือไม่รู้ตัวเองว่าเครียด และไม่กล้าเผชิญความจริง เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าเราเครียด จากนั้นให้ถามตัวเองว่าเราจะสู้ หรือหนีปัญหา ถ้าสู้ก็ต้องแก้ที่สาเหตุเลยคือทำจิตใจให้ดี เมื่อจิตใจแจ่มใสเบิกบาน สมองก็ปลอดโปร่ง และสุขภาพแข็งแรง ไม่ว่าจะทำงานทำการอะไรจึงดีหมด เมื่อพื้นฐานดี ต่อไป ก็จะดูดแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต กลายเป็นชีวิตดีทบยอดดีขึ้นไปเป็นดีทวีคูณ หมอเชื่อในเรื่องของกฎแห่งการดึงดูด ถ้าเราเป็นแบบไหนก็จะเจอสิ่งนั้นๆตลอด ชีวิตหมอดีขึ้นเยอะ เพราะตั้งแต่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็ได้เจอแต่สิ่งดีๆเข้ามาตลอด การเอ็นจอยไลฟ์ด้วยการกินเที่ยวดื่มเป็นแค่การเปลี่ยนอารมณ์ แต่ไม่ใช่ความสุขยั่งยืน

สุขภาพที่ดีและชีวิตที่มีความสุข...หาซื้อไม่ได้!! แต่ต้องลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้น.

...

ทีมข่าวหน้าสตรี