สําหรับคอกาแฟตัวจริง คงเคยได้ยินชื่อเสียงความพรีเมียมของ “กาแฟผาฮี้” กันมาบ้าง ในฐานะกาแฟไทยภูเขาคุณภาพคับแก้ว ที่ปลูกด้วยมือชาวอาข่าหมู่บ้านผาฮี้ ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย จ.เชียงราย โดยมีรางวัลชนะเลิศจากเวทีประกวดเมล็ดกาแฟอาราบิก้า ในงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ปี 2554 เป็นเครื่องรับประกันความเป็นเลิศ
ก่อนจะมาเป็นกาแฟคุณภาพชั้นยอด ชาวอาข่าหมู่บ้านผาฮี้ไม่เคยปลูกพืชเศรษฐกิจอย่าง “กาแฟ” มาก่อน และมีรายได้หลัก 99% มาจากการปลูกฝิ่น กระนั้น ด้วยพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี “สมเด็จย่า” ที่ทรงต้องการพลิกฟื้นผืนป่าเสื่อมโทรม และแก้ปัญหาการปลูกฝิ่น ซึ่งเป็นตัวการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ จึงมีการส่งเสริมให้ชาวเขาแถบนี้ปลูกพืชอื่นทดแทน รวมไปถึงการปลูกกาแฟ สายพันธุ์อาราบิก้า ซึ่งปลูกได้ดีในภูมิประเทศภูเขาสูง ที่ระดับความสูง 1,200-1,400 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ชีวิตของชาวอาข่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันเหมือนเดิม นับตั้งแต่โครงการพัฒนาดอยตุงเข้ามาเปิดแปลงทดลองวิจัยกาแฟ เมื่อปี 2531 เพื่อถ่ายทอดวิชาการปลูกกาแฟ และปลูกฝังให้ชาวอาข่าตระหนักว่า การปลูกกาแฟคือ ห่านทองคำ ที่จะสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองอย่างยั่งยืน ในฐานะลูกหลานหมู่บ้านอาข่าผาฮี้ ที่เติบโตมาท่ามกลางจุดเปลี่ยนสำคัญ “ผู้ใหญ่บ้านอรัญ พรจิไพศาล” ผู้ใหญ่บ้านผาฮี้ หมู่ 10 บอกเล่าถึงตำนานความเป็นมาของ “กาแฟผาฮี้” และเสน่ห์กาแฟไทยภูเขา พร้อมเปิดดอยให้ชมเบื้องหลังการปลูกกาแฟลือชื่อ ไล่ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกต้นกาแฟ, การเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟ, กระบวนการแปรรูปผลผลิต และการพัฒนาการเพาะปลูกกาแฟให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพขึ้น ซึ่งล้วนแต่ผ่านการลองผิดลองถูกของชาวผาฮี้ และทุ่มเทศึกษาพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งตลอดเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ กระทั่งประสบความสำเร็จในการผลิตเมล็ดกาแฟอาราบิก้าระดับคุณภาพ โดยล่าสุดได้รับความไว้วางใจจากค่ายอสังหาฯระดับไฮเอนด์ “แสนสิริ” ให้นำเมล็ดกาแฟอาราบิก้าจากดอยผาฮี้ ผสมผสานกับกาแฟดอยลังกาหลวง เพื่อสร้างสรรค์เป็นกาแฟรสชาติพรีเมียม “แสนสิริ ซิกเนเจอร์ เบลนด์ คอฟฟี่”
...
ชาวอาข่าอพยพเข้ามาอาศัยอยู่บนดอยผาฮี้ได้อย่างไร
ผมเป็นเจเนอเรชั่นที่สามแล้วครับ บรรพบุรุษอพยพมาจากแคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน ในยุคสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมจีน โดยเข้ามาตั้งถิ่นฐานในรัฐฉาน ประเทศพม่า ต่อมาอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ตรงข้ามบ้านผาขาว ใกล้แนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่า บริเวณดอยช้างมูบ แล้วจึงย้ายถิ่นฐานมาอยู่ตรงข้ามบ้านนาแก ประเทศพม่า ใกล้ๆกับอำเภอแม่สาย ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ชนเผ่าอาข่าได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่บ้านห้วยน้ำริน และในปี 2504 จึงย้ายถิ่นฐานมาอยู่หมู่บ้านอาข่าผาฮี้ปัจจุบัน โดยมีนายอาเพียวและนางอาบะ พรจรัสโชติ เผ่าอู่โล้อาข่า เป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน ในยุคแรกๆชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกข้าวไร่กับข้าวโพดไว้กิน และปลูกฝิ่นเป็นอาชีพหลัก เนื่องจากฝิ่นปลูกง่ายและให้เงินดี โดยมีพ่อค้ามารับซื้อถึงบนดอย ชาวบ้านยุคนั้นแผ้วถางป่าและทำไร่เลื่อนลอยเพื่อปลูกฝิ่นกันเป็นอาณาบริเวณกว้างขวาง กระทั่งในปี 2523 มีหน่วยงานรัฐเล็งเห็นความสำคัญของพื้นที่ป่ามากขึ้น จึงนำกาแฟเข้ามาให้ชาวบ้านปลูก โดยชูสโลแกน “ปลูกกาแฟดีกว่าปลูกฝิ่น” เพราะเป็นพืชราคาสูง และไม่ผิดกฎหมายเหมือนฝิ่น
ยุคแรกที่เลิกปลูกฝิ่น แล้วหันมาปลูกกาแฟ มีกระแสต่อต้านจากชาวบ้านเยอะไหม
ช่วงแรกๆเรายังไม่ได้ปลูกกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก เพราะผลผลิตไม่มีคุณภาพเพียงพอจะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ กระทั่งในปี 2531 เมื่อโครงการพัฒนาดอยตุง ได้เข้ามาในหมู่บ้าน ส่งเสริมให้ชาวบ้านเลิกทำไร่เลื่อนลอย และสอนให้ชาวบ้านเรียนรู้ที่จะอาศัยร่วมกับป่า ห้ามไม่ให้ตัดไม้ทำลายป่า และสนับสนุนให้ชาวบ้านปลูกกาแฟกันมากขึ้น จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชาวอาข่าผาฮี้ ที่หันมาปลูกกาแฟเป็นอาชีพหลักทั้งหมู่บ้าน จากที่ไม่รู้เรื่องกาแฟเลย พวกเราพัฒนาตัวเองได้รวดเร็ว เพราะได้รับโอกาสให้เข้าไปทำงานในศูนย์วิจัยทดลองกาแฟของโครงการพัฒนาดอยตุง ทำให้เห็นช่องทางการสร้างรายได้ และได้องค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟ การเก็บเกี่ยว กระบวนการแปรรูปผลผลิตเพิ่มขึ้น จนสามารถนำความรู้มาต่อยอดพัฒนาการปลูกกาแฟของตัวเอง และเกิดการรวมกลุ่มกันขึ้นเพื่อพัฒนาการเพาะปลูกกาแฟให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
หลังยึดอาชีพปลูกกาแฟ ชีวิตเปลี่ยนไปขนาดไหน มีความเป็นอยู่ดีขึ้นมากไหม
...
ชีวิตดีขึ้นชัดเจนครับ เราสามารถเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตกับชนเผ่าอื่นๆ ที่ไม่สามารถปลูกกาแฟ ซึ่งเป็นพืชยืนต้น และยังต้องเลี้ยงชีพด้วยการปลูกพืชล้มลุก ปัจจุบันหมู่บ้านผาฮี้มีครัวเรือน 89 หลัง ประชากร 540 คน ปลูกกาแฟทุกหลังคาเรือน พี่น้องอาข่ามีเป็นแสนคน อยู่ใน 5 จังหวัดภาคเหนือของไทย ส่วนใหญ่จะปลูกกาแฟเป็นอาชีพ
อะไรคือคุณสมบัติโดดเด่นของ “กาแฟผาฮี้” ที่ทำให้ติดใจกันทั้งโลก
ทุกคนจะยอมรับว่า คุณภาพกาแฟของเราดีมาก กาแฟของเรามีอโรม่าดี มีความหอม สะอาด นุ่มนวล และมีรสหอมหวานคล้ายผลไม้ ส่วนเรื่องความเข้มข้นไม่ใช่ปัญหาเพราะขึ้นอยู่กับขั้นตอนการคั่ว แต่จุดที่ยากคือเรื่องความหอมของอโรม่า ถ้าอยากดื่ม “กาแฟผาฮี้” ก็สามารถเข้าไปดูที่เว็บไซต์ www.phahee.com ผมดีใจที่คนไทยหันมาดื่มกาแฟสดและกาแฟของคนไทยกันเยอะขึ้น กาแฟไทยภูเขามีคุณภาพไม่แพ้ใครในโลก
แต่ละปีผลิตกาแฟได้มากน้อยแค่ไหน และช่วงไหนเป็นฤดูเก็บเกี่ยวดีที่สุด
เราเก็บเกี่ยวตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคมของปีถัดไป ผลผลิตกาแฟต่อปีประมาณ 2 แสนกิโลกะลา โดยหลักแล้ว ต้นกาแฟแต่ละต้นมีอายุในการให้ผลผลิตประมาณ 20 ปี รอต้นกล้าโตก็ 4-5 ปีแล้ว “กาแฟผาฮี้” มีจุดเด่นแตกต่างจากดอยอื่นๆคือ วิถีการปลูกเป็นแบบธรรมชาติ เราปลูกใต้ต้นไม้ใหญ่ ทำให้ผลกาแฟสุกช้า จึงมีเวลาสะสมอาหาร จนเกิดเป็นความหวานในผลเชอร์รี่กาแฟ เรามีความได้เปรียบในเรื่องภูมิประเทศ เพราะที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่บนดอยสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200-1,400 เมตร อากาศเย็นสบายตลอดปี ดินมีความอุดมสมบูรณ์มาก แถมยังหันหน้าไปทางทิศตะวันออกทำให้แดดรำไร เมื่อประกอบกับการพิถีพิถันใส่ใจดูแล จึงทำให้ได้ “สารกาแฟ” (Green bean) ที่มีคุณภาพสูง
...
ขั้นตอนการผลิตกาแฟยุ่งยากซับซ้อนมากไหม
เป็นงานที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน และใช้มือคนเป็นหลัก ขั้นตอนการทำคือ หลังเก็บเมล็ดกาแฟเชอร์รี่มาจากต้นกาแฟทีละเมล็ด โดยเลือกเฉพาะเมล็ดที่สุกงอมเท่านั้นจากนั้นคัดเมล็ดที่สมบูรณ์นำไปปอกเปลือกกาแฟภายใน 24 ชั่วโมง แล้วหมักในบ่อหมักจนครบเวลา และล้างเมือกกาแฟให้สะอาด นำไปตากบนลานตากที่ทำด้วยฟากไม้ไผ่ยกพื้นสูง เมื่อแห้งดีแล้วจึงบรรจุลงกระสอบ เก็บรักษาในที่อากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อให้ได้ “สารกาแฟ” ที่มีคุณภาพสูงสุด หลังจากนั้นจะทำการบ่มเมล็ดกาแฟทิ้งไว้อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อทำให้ “สารกาแฟ” มีรสชาติและกลิ่นดีที่สุด จนพร้อมสำหรับขั้นตอนการคั่วเมล็ดกาแฟ
อะไรคืออุปสรรคใหญ่ของการส่งออกกาแฟ
กาแฟเป็นพืชเชิงเดี่ยวที่อ่อนไหว ทำให้ได้รับผลกระทบง่าย ถ้ากาแฟให้ผลผลิตไม่คุ้มทุน หรือราคาตก ก็จะทำให้ชาวบ้านอยู่กันอย่างลำบาก ราคากาแฟโลกตกลงมาก ในแถบประเทศเพื่อนบ้านเรา ประเทศเวียดนามเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก ตามมาด้วยอินโดนีเซียและลาว ราคากาแฟที่ดีๆคือ กะลาเมล็ดกาแฟ กิโลละ 160 บาท แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ราคาตกลงเหลือกิโลละ 75-130 บาท ปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่คุณภาพ แต่เราสู้ราคาประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ เรายังขาดการตลาดและช่องทางการวางจำหน่ายที่ดี “กาแฟผาฮี้” เป็นกาแฟคุณภาพสูง ซึ่งราคาก็สูงตามไปด้วย
...
จนถึงวันนี้ชีวิตชาวอาข่ายุคใหม่พัฒนาไปไกลหรือยัง
ในหมู่บ้านของเรามีคนจบปริญญาตรี 30 กว่าคน จบวิศวกรก็มี การศึกษาเป็นสิ่งที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนได้ดีที่สุด แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกเยอะ ผมเป็นผู้ใหญ่บ้านมา 4 ปีแล้ว ก็พยายามผลักดันเรื่องการพัฒนาการศึกษาเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องการปลูกกาแฟเราก็พัฒนามาตลอด
กระแสทุนนิยมที่มากับการพัฒนา ทำให้ประเพณีวัฒนธรรมอาข่าสูญหายไหม
โลกเปลี่ยนไปรวดเร็วมาก วิถีชีวิตของคนอาข่าก็เปลี่ยนไปตามภาวะสังคม เช่น ทุกวันนี้พวกเราไม่ใส่ชุดอาข่ากันแล้ว จะใส่เฉพาะในงานประเพณีสำคัญๆ วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไปเยอะ ตั้งแต่เรามีน้ำไฟเข้าถึงเมื่อปี 2531 กระนั้น สิ่งที่พวกเรายังคงเก็บรักษาไว้อย่างดีคือประเพณีความเชื่อต่างๆ บ้านเรายังคงนับถือบรรพบุรุษดั้งเดิม ปีหนึ่งยังคงจัดพิธีกรรม 12 พิธีกรรม เพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ไม่ใช่ไหว้ผี เช่น ประเพณีโล้ชิงช้า และประเพณีปีใหม่ลูกข่าง
ชาวอาข่าได้น้อมนำแนวพระราชดำริใดของ “ในหลวง” มาเป็นหลักดำเนินชีวิต
เรื่องความพอเพียงครับ อยู่อย่างพอมี พอกิน ไม่ต้องฟุ้งเฟ้อ ทุกคนใฝ่ฝันอยากมีอยากได้สิ่งที่ดีกว่าทั้งนั้น แต่คนในหมู่บ้านเรามีน้อยคนที่จะทิ้งถิ่นฐานไปทำงานที่อื่น เพราะเราส่งเสริมความรักความสามัคคีกัน ในหมู่บ้าน เรามีโรงเรียนถึงชั้น ป.6 ให้ทุกคนเรียนฟรี และมีการสอนภาษาจีนช่วงเย็นทุกวัน เพราะเราค้าขายกับชาวจีนเป็นหลัก
ภูมิใจแค่ไหนที่ได้เป็นคนไทย
พวกเราเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ มีสัญชาติไทย และมีบัตรประชาชนถูกต้องทุกคน ถึงเราจะเป็นอาข่า แต่ก็ถือว่าตัวเองเป็นคนไทยคนหนึ่ง และภูมิใจที่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินนี้ แต่ผมไม่เคยลืมรากเหง้าความเป็นคนต้นน้ำ หน้าที่ของพวกเราคือ การปลูกกาแฟดีมีคุณภาพเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยรักษาป่าต้นน้ำให้ประเทศไทย การปลูกกาแฟก็เหมือนการปลูกป่า เป็นการช่วยอนุรักษ์ป่าไม้มิให้ถูกทำลายไปพร้อมกันด้วย.
ทีมข่าวหน้าสตรี