หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยในกลุ่มคนสูงอายุ คือ โรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อเข่าที่เสื่อมจากการใช้งานมายาวนาน หรือในบางรายมีการใช้งานอย่างไม่ถูกวิธี ในงานเสวนาเรื่อง“ข้อเสื่อมบรรเทา ข้อเข่าแข็งแรง” รศ.นพ.พัชรพล อุดมเกียรติ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ ภาควิชาศัลยศาตร์ออร์โธปิดิกส์ คณะแพทย์ศาสาตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า โรคข้อเข่าเสื่อมมักพบในผู้สูงอายุเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึง 3 เท่า โดยส่วนใหญ่พบในกลุ่มผู้ที่่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน หรือมีกิจกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ใช้ข้อเข่ามาก การนั่งยองๆ นั่งพับเพียบ หรือการนั่งขัดสมาธิ รวมทั้งผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุที่บริเวณข้อเข่า การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา โรคประจำตัวบางชนิด  เช่น โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือมีประวัติการติดเชื้อในข้อเข่า

รศ.นพ.ธไนนิธย์ โชตนภูติ ประธานชมรมศัลยแพทย์ข้อเข่าข้อสะโพกประเทศไทย เผยว่า “การควบคุมน้ำหนักตัวเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะแรงกดที่ข้อเข่าจะต้องแบกรับถึง 6 เท่าของน้ำหนักตัวเพียง 1 กิโลกรัม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความล้าและเป็นปัจจัยที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น และหากปล่อยทิ้งไว้โดยปราศจากการดูแลที่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้ยากลำบากและถึงขั้นที่ไม่สามารถลุกขึ้นยืนหรือเดินได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ หากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อกระดูกและนำไปสู่โรคข้อเสื่อมได้



อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมรักษาด้วยวิธีการรับประทานยา ออกกำลังกาย ทำกายภาพบำบัด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมที่มีความคงทนสูง ซึ่งเป็นการรักษาด้วยวิธีเปลี่ยนผิวข้อเข่าทั้งหมด  (Total Knee Replacement) ที่สามารถหมุนและเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงกับข้อเข่าจริง ซึ่งมีการพัฒนาทั้งในด้านการออกแบบให้มีความสึกหรอต่ำโดยให้ชิ้นส่วนรับน้ำหนักที่เป็นพลาสติกสังเคราะห์   มีการเคลื่อนไหวได้ และด้านเทคนิคการผ่าตัดเพื่อให้ได้ข้อเข่าเทียมที่มีอายุการใช้งานสูงสุดถึงกว่าสิบปี จึงสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยได้” รศ.นพ. ธไนนิธย์ กล่าว

...


คุณหญิงถนัด ปิติวงษ์

ด้านคุณหญิงถนัด ปิติวงษ์ วัย 83  ปี ผู้ได้รับการผ่าตัดข้อเข่าเทียม เล่าว่า “ชีวิตช่วงหนึ่งต้องทนทรมานอยู่กับโรคข้อเข่าเสื่อม แค่ลุกขึ้นยืนก็ต้องเสียเวลาตั้งหลักเป็นเวลานานกว่าที่จะขยับก้าวเดินไปข้างหน้าได้ เนื่องจากน้ำเลี้ยงข้อเข่าข้างขวาแทบจะไม่มี จนต้องเข้ารับการรักษาด้วยการฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่าและรับประทานยาควบคู่กันไปเป็นเวลานานนับปี ส่งผลให้ขาขวาเริ่มโก่งจนไม่สามารถเดินได้อย่างปกติ จึงตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบบหมุนได้ และนับเป็นเวลาถึงแปดปีแล้วที่กลับมาใช้ชีวิตที่ตนเองต้องการอย่างมีความสุข เหมือนชีวิตที่ขาดหายไปช่วงหนึ่งได้ถูกเติมเต็มและได้กลับมาเป็นตัวเราเองอีกครั้งหนึ่ง จึงอยากให้ทุกคนไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ตาม ควรเริ่มดูแลและรักษาตัวเองตั้งแต่วันนี้ โดยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคข้อเสื่อม จะได้ป้องกันการสูญเสียของร่างกายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้”