ถ้าพูดถึงชื่อของ “พราวพุธ ลิปตพัลลภ” ทายาทสาวคนสุดท้อง วัย 26 ปี ของนักการเมืองดัง “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ “พลโทหญิงพูนภิรมย์  ลิปตพัลลภ” อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ต้องบอกว่าเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้นจริงๆ สาวน้อยคนนี้ไม่ได้สนใจเล่นการเมือง ทั้งๆที่โตมากับการลงพื้นที่ช่วยคุณพ่อแจกใบปลิวหาเสียงกับคนโคราช ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ทว่า เธอมีเลือดนักสู้เข้มข้นเต็มร้อยตามรอยพ่อแม่ และกำลังแจ้งเกิดในฐานะเจ้าแม่เรียลเอสเตทน้องใหม่ขาลุยของวงการพัฒนาอสังหาฯ โดยหมายมั่นปั้นมือว่าจะสร้างบริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด ให้เป็น 1 ใน 3 ยักษ์ใหญ่ค่ายอสังหาฯของเมืองไทย ภายในเวลา 5 ปี

“พราวพุธ ลิปตพัลลภ” ไม่ใช่หน้าใหม่ของวงการไฮโซเมืองไทย เธอร่ำเรียนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์และการจัดการ จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และต่อปริญญาโทด้านการบริหารที่ลอนดอน บิสเนส สคูล จากนั้นจึงเดินทางกลับประเทศไทย ทำงานหาประสบการณ์อยู่ 2 ปี กับบริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ธุรกิจชั้นนำระดับโลก “แมคคินซี่ แอนด์ คอมพานี อิงค์ ไทยแลนด์” ก่อนจะเริ่มลุยธุรกิจของตัวเอง  เปิดบริษัทพัฒนาอสังหาฯ “พราว  เรียลเอสเตท จำกัด” เมื่อ 2 ปีก่อน โดยเธอรั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ

...


ทายาทนักการเมืองดังผันตัวมาทำธุรกิจพัฒนาอสังหาฯได้อย่างไร

ครอบครัวของเรามีธุรกิจก่อสร้างอยู่แล้ว ภายใต้กลุ่มบริษัทประยูรวิศว์ แต่เราเน้นก่อสร้างถนน, ทำทางและสร้างสะพาน เป็นเรื่องของโครงสร้างใหญ่ๆ ไม่เคยทำด้านพัฒนาอสังหาฯ กระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นจังหวะที่ทางบ้านกำลังจะมีโปรเจกต์ใหญ่ร่วมกับ “คุณแอ๊ว-ศุภลักษณ์ อัมพุช” ของค่ายเดอะมอลล์ กรุ๊ป สร้างศูนย์การค้าช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ ที่หัวหิน คือ โครงการบลูพอร์ท บนพื้นที่ 20 ไร่ ลงทุนไป 4 พันกว่าล้านบาท คุณพ่อจึงอยากให้ “พราว” ลาออกจาก “แมคคินซี่ฯ” มาช่วยดูแลตรงนี้ เมื่อเห็นว่าเราทำได้ คุณพ่อก็มอบหมายให้ลุยต่อทำโครงการของครอบครัวคือ “วานา นาวา หัวหิน” ซึ่งเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สำหรับแฟมิลี่ มีครบทั้งโรงแรม, คอนโดมิเนียม และสวนน้ำ ใช้งบลงทุน 900 ล้านบาท ตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อให้เป็น “วอเตอร์จังเกิ้ล” แห่งแรกของเอเชีย กระนั้น กลยุทธ์ระยะยาวของเราคือ ไม่ต้องการทำธุรกิจเฉพาะที่หัวหิน แต่ต้องการสร้างบริษัทให้เป็นผู้พัฒนาอสังหาฯรายใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ ซึ่งหมายความว่าต้องมีฐานอยู่ที่กรุงเทพฯด้วย โชคดีที่ได้มาเจอกับ “คุณธงชัย บุศราพันธ์” (อดีตผู้บริหารใหญ่  บมจ.โนเบิล) ทำให้ได้ร่วมทุนกันเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกในกรุงเทพฯ ที่ซอยสุขุมวิท 24 ใช้ชื่อว่า “พาร์ค 24”

ตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯแข่งขันขับเคี่ยวรุนแรง ยังมีช่องว่างให้น้องใหม่แจ้งเกิดหรือคะ

(ยิ้ม) การแข่งขันในธุรกิจนี้ค่อนข้างสูง  แต่ถ้าเรามีโพสิชั่นนิ่งของตัวเองชัดเจนก็ไม่กลัวใคร และสำคัญที่สุดคือ เรื่องโลเกชั่น ต้องมีจุดดึงดูดด้วยตัวมันเอง เป็นเดสติเนชั่นที่ใครๆก็ต้องมา โลเกชั่นเป็นสิ่งที่หมดแล้วหมดเลย ถ้าไม่ซื้อไว้วันนี้ ต่อไปก็ไม่มีแล้ว อีกปัจจัยสำคัญคือ เรื่องของโครงสร้างดีไซน์ และคอนเซปต์ที่โดดเด่น โครงการ “พาร์ค 24” นำเสนอแนวคิดไม่เหมือนคนอื่นคือ “Urban Forest” เราอยากสร้างไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากคนอื่น ถึงจะอยู่ใจกลางเมือง แต่มีพื้นที่สีเขียวให้เอ็นจอยเยอะ บนพื้นที่ 12 ไร่ เราจัดสรรเป็นพื้นที่โอเพ่นสเปซเปิดโล่งถึง 10 ไร่ เหลือแค่ 2 ไร่ที่เป็นพื้นที่อาคาร ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน แถมโลเกชั่นของเราก็ดีมากๆ อยู่ย่านใจกลางเมือง ล้อมรอบด้วยศูนย์การค้าชั้นนำ, ร้านอาหารดังๆ ไลฟ์สไตล์ทุกอย่าง และเดินทางสะดวก ในโครงการแบ่งเป็น 2 เฟส มูลค่า 15,000 ล้านบาท เฟสแรก ประกอบด้วย 3 ตึก ตึก 1 เป็นอาคารชุดเพื่อการพาณิชย์ สูง 2 ชั้น มี 4 ยูนิต ส่วนอีกสองตึกเป็นอาคารเพื่อพักอาศัย ขนาดสูง 51 ชั้น จำนวน 533 ยูนิต และขนาดสูง 29 ชั้น จำนวน 300 ยูนิต รวม 837 ยูนิต ถึงเราจะมียูนิตเยอะ แต่พอคนเข้ามาอยู่จริงๆจะรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวแน่นอน เพราะแต่ละชั้นมี แค่ 12 ยูนิต เรามีสระน้ำอยู่ชั้นดาดฟ้า มีห้องสมุดขนาดใหญ่ มีสนามเด็กเล่น มีโยคะสตูดิโอ แถมเรายังลงทุนเจาะพื้นทำที่จอดรถใต้ดิน 4 ชั้น เพราะอยาก ให้มีพื้นที่สีเขียวเยอะที่สุด คาดว่าต้องใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปี โครงการนี้ตั้งใจทำราคาไม่ให้สูงเกินไป ห้องขนาด 28 ตารางเมตร ราคาสตาร์ตที่ 4 ล้านบาท เพราะคิดตลอดว่าอยากทำคอนโดมิเนียมที่คนสามารถเป็นเจ้าของได้ หลังๆมานี้คนมีงบ 4-5 ล้านบาท ไม่มีสิทธิ์อยู่ใจกลางเมืองสุขุมวิท เราไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น


เสน่ห์ของธุรกิจอสังหาฯอยู่ ตรงไหน

ความสนุกคงอยู่ที่เราซื้อที่ดินเปล่า มาแล้วสามารถเนรมิตอะไรขึ้นมาก็ได้อย่างที่อยากทำ สามารถใส่ไอเดียหรือดีไซน์ อะไรก็ได้ที่เราชอบ เหมือนการสร้างเลโก้

กดดันไหม อายุแค่ 26 ปี แบกรับภาระหนักอึ้งขนาดนี้

คนถามบ่อยคะว่า อายุแค่นี้กดดันหรือเปล่าต้องรับผิดชอบเยอะขนาดนี้ แต่กลับมองว่าเป็นโอกาสได้เรียนรู้มากกว่า โชคดีมากๆที่ได้มีโอกาสทำงานกับคนเก่งๆตั้งแต่อายุน้อยๆ สนุกกับงานจนไม่รู้สึกเครียด

รู้สึกยังไงที่คนพูดว่า  เพราะเป็นลูกสาวนักการเมืองใหญ่ ทำอะไรจึงฉลุยไปหมด

การที่เราเป็นลูกสาวนักการเมือง ทำให้ถูกมองว่ามีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาจะขยับตัวทำอะไรต้องเพิ่มความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ทุกอย่างต้องทำอย่างถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

...


ทำโปรเจกต์ใหญ่เป็นหมื่นล้าน ต้องปรึกษาคุณพ่อไหม

คุณพ่อเป็นนักการเมืองมาก่อน ทำให้มองอะไรรอบด้าน ไม่ใช่แค่คิดแต่เรื่องเงิน เราต้องมองทั้งในมุมของลูกค้า, ชื่อเสียงและชุมชนที่เราอยู่ “พราว” มีปัญหาอะไรก็จะปรึกษาคุณพ่อคะ แต่คนที่เป็นกุนซือตัวจริงคือ “คุณย่าจรัสพิมพ์” ท่านเล่าเสมอว่า ย่าเรียนจบแค่ ป.4 แต่สามารถช่วยคุณปู่สร้าง “ประยูรวิศว์” จากจุดที่ไม่มีอะไรเลย ท่านสร้างตัวมาอย่างยากลำบากมาก ตอนแต่งงานกับคุณปู่ใหม่ๆ อายุ 18 ปี มีเรืออยู่ลำเดียว ก็ทำเป็นขนส่งวัสดุก่อสร้างริมน้ำ โดยอาศัยอยู่บนเรือ เป็นคนขุดหินดินทรายเองกับมือ แล้วก็ขยับขยายมาเรื่อยๆกระทั่งได้ขึ้นบกมาทำก่อสร้างจริงจัง โครงการแรกๆขาดทุนล้มละลายไป แต่ก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่จนมีธุรกิจที่มั่นคงอย่างทุกวันนี้

คุณย่าให้เคล็ดวิชาอะไรบ้างเพื่อลุยธุรกิจใหม่

คุณย่าบอกเสมอว่าต้องอดทน และตั้งใจจริงในการทำงาน ทุกรายละเอียดมีความสำคัญหมด ไม่ว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆขนาดไหน เราต้องลงมาดูเอง คุณย่ายังช่วยแนะนำเรื่องการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง แนะนำคอนเนคชั่นซัพพลายเออร์ ที่สำคัญได้เรียนรู้วิสัยทัศน์และแนวความคิดจากคุณย่า คุณย่าบอกว่า เราไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ทุกครั้งในชีวิต มีล้มบ้างพลาดบ้าง แต่ทุกครั้งจะต้องกัดฟันทนผ่านไปให้ได้

กว่าจะได้รับการยอมรับ ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะไหม

คงบังคับให้คนอื่นยอมรับเราไม่ได้ แต่สำคัญอยู่ที่เราจะพิสูจน์ตัวเองให้เห็นได้อย่างไรมากกว่า “พราว” ทำให้เห็นว่าเราไม่ได้ทำเล่นๆ ไม่ได้มาทำอสังหาฯเพราะเป็นลูกหลานใคร และผู้ใหญ่คงไม่กล้าปล่อยให้เราทำโปรเจกต์ใหญ่ขนาดนี้หรอก  ถ้าไม่ไว้ใจในฝีมือของเรา  เงินลงทุนก็ไม่ใช่น้อยเลย

...


ฝันให้ไกลต้องไปให้ถึงสไตล์ “พราวพุธ ลิปตพัลลภ” สวยหรูขนาดไหน

รุ่นคุณปู่คุณย่าสร้างฐานจาก 0 ถึง 100 รุ่นคุณพ่อมาต่อฐานจาก 100 เป็น 150 ในฐานะรุ่นที่สาม “พราว” อยากจะทำให้กิจการของครอบครัวเติบโตขึ้นไปอีก ก็พยายามทำให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพวกท่าน คุณย่าจบแค่ ป.4 แต่ท่านสามารถส่งเสียลูกหลานให้เรียนจบเมืองนอก หมดเงินไปเท่าไหร่ เรียนมาตั้งกี่ประเทศ จบมาตั้งกี่ปริญญา  เราต้องทำให้ได้ รากฐานของครอบครัวคือ ธุรกิจก่อสร้าง มาถึงรุ่นเราก็ต่อยอดทำธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ความฝันของ “พราว” คือ อยากให้แบรนด์ “พราว เรียลเอสเตท” เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ เป็นธุรกิจอสังหาฯที่ได้รับความไว้วางใจว่ามีคุณภาพ ในอนาคตก็จะขยายไปยังเซ็คเมนต์อื่นๆด้วย เช่น โรงแรม, ที่อยู่อาศัย และสถานที่ท่องเที่ยว หากธุรกิจของครอบครัวเสร็จแล้ว ก็อาจจะแตกแบรนด์ไปทำธุรกิจที่เป็นของเราจริงๆ ฝันไว้ว่าอยากสร้างธุรกิจที่เกิดขึ้นจากมือของเราจริงๆแบบที่คุณย่าเคยทำ

คิดอยากลงเล่นการเมืองตามรอยคุณพ่อคุณแม่ไหม

...

รู้สึกนับถือคนทำงานอาชีพนักการเมือง ที่ยอมทุ่มเทตัวเองเพื่อประชาชน แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานการเมือง เพราะนอกจากจะเป็นอาชีพที่เหนื่อยกว่าที่คิดไว้มาก บรรยากาศการเมืองในปัจจุบันยังไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

ทีมข่าวหน้าสตรี