ทันทีที่มีข่าวว่า กรมการขนส่งทางบก จะคลอดโครงการ "เลดี้แท็กซี่" ออกมา บรรดาเลดี้ หรือสุภาพสตรีทั้งหลายให้ความสนใจพูดคุยสอบถามรายละเอียดเรื่องนี้ในวงกว้าง เพราะหลายคนเป็นห่วงความปลอดภัยในยุคที่ "สังคมอยู่ยาก" มากขึ้น แต่ละวัน มีแต่ข่าวผู้หญิงโดนรุมทำร้าย ชิงทรัพย์ หรือข่มขืน จากการนั่งแท็กซี่ในยามค่ำคืน โครงการ "เลดี้แท็กซี่" จึงกลายเป็นความหวังเล็กๆ สำหรับสาวๆ ชาวกรุง จะดีแค่ไหนหากวันหนึ่งเปิดประตูแท็กซี่แล้วเจอโชเฟอร์เป็นผู้หญิงมารยาทงาม คุยเก่ง ชอบช่วยเหลือผู้คนอย่าง 'นัตยา อินทร์บำรุง' ไทยรัฐออนไลน์สะท้อนเรื่องราวของสาวหลังพวงมาลัยผ่านเธอ
โชเฟอร์แท็กซี่ อาชีพที่ผู้หญิงไม่นึกถึง
'สาวนัต-นัตยา อินทร์บำรุง' เคยเป็นพนักงานออฟฟิศแต่งชุดยูนิฟอร์ม ตอกบัตรทำงานแบบออฟฟิศไทม์ เธอรู้สึกว่าชีวิตจำเจ จึงตัดสินใจลาออกจากงานและหันมาเลือกอาชีพหลังพวงมาลัย ทำหน้าที่ขับรถรับจ้างกดมิเตอร์รับผู้โดยสารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เป็นโชเฟอร์แท็กซี่มาตลอด 6 ปีเต็ม และทำงานอย่างมีความสุขเป็นที่สุด นัตยาเล่าว่า แม้อาชีพคนขับแท็กซี่จะไม่ได้ร่ำรวยหาเงินทองได้มากมาย แต่เธอได้เป็นเจ้านายตัวเอง เลือกช่วงเวลาทำงานและช่วงเวลานอนได้ เวลาไปรับส่งผู้โดยสารถึงที่หมายโดยปลอดภัยและทันเวลา ได้รับคำขอบคุณและรอยยิ้มกลับมา คงไม่อยากจะหนีอาชีพนี้ไปไหนหรอกค่ะ (ยิ้ม)
...
แท็กซี่เองก็กลัวผู้โดยสาร
จากข่าวคราวตามหน้าสื่อต่างๆ ทำให้คนกลัวการนั่งแท็กซี่ตามลำพัง แต่สำหรับในมุมของคนขับแท็กซี่ และยิ่งเป็นผู้หญิงขับด้วยแล้ว ก็มีความรู้สึกกลัวผู้โดยสารเหมือนกัน เพราะแม้จะใช้ชื่อว่าแท็กซี่ เติมคำว่า เลดี้ ลงไปด้วย แต่คงยากที่จะปฏิเสธผู้โดยสารผู้ชายเฉกเช่นรถรับจ้างทั่วไป
"ยอมรับว่ากลัวเหมือนกันค่ะ (หัวเราะ) แต่พี่ก็มีกฎของเราว่า ถ้าซอยเปลี่ยว ไม่มีที่กลับรถ หรือเส้นทางที่ไม่รู้จัก ก็จะหลีกเลี่ยงไม่ไป แต่โชคดีที่ยังไม่เคยเจอลูกค้าขี้เมาทำตัวรุ่มร่ามอะไร โดยส่วนตัวมองว่า การที่โชเฟอร์ทำตัวไม่ดีอย่างที่เป็นข่าวก็สร้างชื่อเสียงเสียทั้งหมดเลยว่า คนขับแท็กซี่ไม่ดี ทั้งที่จริงๆ แล้ว แท็กซี่ที่ไม่โกงระยะทาง ไม่โกงค่าโดยสาร ส่งถึงที่หมายอย่างปลอดภัยก็มี ไม่อยากให้ผู้ใช้บริการเหมารวมจนไม่กล้านั่งแท็กซี่อีก"
2 บทบาทของ 'นัตยา' หญิงแกร่ง
"เพิ่งเคยเจอคนขับเป็นผู้หญิง พวกหนูรู้สึกปลอดภัยจัง" ประโยคยอดฮิตที่โชเฟอร์แท็กซี่เลดี้ 'นัตยา อินทร์บำรุง' ได้ยินเป็นประจำหลังจากรับผู้โดยสาร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่กลับบ้านยามค่ำคืน และนอกจากสาวนัตยาจะเป็นโชเฟอร์ขับแท็กซี่ ยังควบตำแหน่งอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ้งอีกหนึ่งภาระที่สาวแกร่งผู้นี้หลงรัก
"ตอนแรกก็ขับแท็กซี่หาเลี้ยงชีพ แต่แฟนพี่ซึ่งเป็นหนึ่งในอาสาสมัครมูลนิธิลองให้ฟังวิทยุขอความช่วยเหลือ และพอไปเห็นคนอื่นเดือดร้อน เรามีแรงที่จะช่วยก็ทำไป สุดท้ายสิ่งตอบแทนที่ได้กลับมา มันไม่ใช่เงิน แต่เป็นคำขอบคุณและรอยยิ้มของคนที่เราไปช่วย แค่นี้ก็สุขใจแล้วค่ะ"
กลุ่มลูกค้า เรียกได้ 24 ชั่วโมง
ช่วงเวลาการทำงานของโชเฟอร์สาวคนนี้เริ่มต้นหลังพระอาทิตย์ตกดินจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน เพราะเธอบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่มักเกิดเหตุร้ายอยู่บ่อยครั้ง กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของสาวนัตจะเป็นลูกค้าประจำที่ต้องเดินทางยามค่ำคืน เช่น แอร์โฮสเตส หรือนักศึกษาที่ทำรายงานจนดึก ที่ใช้วิธีโทรศัพท์มาเรียกไปรับ แต่ลูกค้าอีกกลุ่มก็สามารถติดต่อผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊กได้
นอกจากจะเรียกไปรับแล้ว ลูกค้าสาวๆ ยังโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือกรณีรถเสีย หรือเผลอล็อกรถทั้งที่กุญแจอยู่ในรถ โดยสาวนักลุยผู้นี้เน้นย้ำว่า การช่วยเหลือไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
โครงการเลดี้ แท็กซี่ โครงการดีๆ ที่รัฐบาลหวังสนับสนุน
"คนขับแท็กซี่ที่เป็นผู้หญิงมีเยอะค่ะ แต่ส่วนใหญ่เป็นทอม และนอกจากนั้นก็ไปรอคิวที่สนามบินมากกว่าออกวิ่งหาผู้โดยสารตามท้องถนน ซึ่งต้องเข้าใจเขานะว่ามันปลอดภัยกว่า อย่างน้อยลูกค้าทุกคนก็มีจุดมุ่งหมายอยากขนข้าวของกลับบ้าน ไม่มาปล้นแท็กซี่หรือทำอะไรไม่ดี ซึ่งโครงการเลดี้ แท็กซี่ พี่รู้สึกว่าเป็นโครงการที่รัฐบาลควรจะเริ่มต้นทำมานานแล้ว แม้จะคิดค่ามิเตอร์เริ่มที่ 50 บาท พี่ก็เชื่อนะว่ามีลูกค้าสนใจอีกมาก เพราะเขาต้องการความปลอดภัยความสบายใจกับชีวิต มากกว่าเงินเพียงไม่กี่สิบบาท"
จากกระแสข่าวของกรมการขนส่งทางบกที่กำลังผลักดันโครงการ Lady Taxi กำลังได้รับความสนใจ โดยนายอัฌษไธค์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบกเองก็ออกมายอมรับว่าเป็นโครงการที่ดีและอยู่ใน ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าตัวแท็กซี่ที่มีผู้หญิงเป็นผู้ขับจะมีสีชมพูทั้งคัน ติด GPS และเครื่องตรวจจับความเร็ว
...
พี่สอนน้องนั่งแท็กซี่ปลอดภัย
โชเฟอร์สาวและอาสาร่วมกตัญญูบอก วิธีการนั่งแท็กซี่ให้ปลอดภัยที่สุด โดยข้อแรกต้องจดจำสีตัวถังรถให้ได้ และเมื่อเข้ามาในตัวรถต้องเลือกที่นั่งด้านหลังคนขับ เพื่อไม่ให้คนขับหันมาถึงตัวเราได้ง่าย สังเกตหมายเลขทะเบียนรถที่ติดอยู่ด้านข้างของประตูรถ และข้อสุดท้าย โทรศัพท์บอกคนที่บ้านว่าขณะนี้ตัวเราอยู่บนแท็กซี่สีอะไร เลขทะเบียนอะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว โดยนัตยาย้ำว่า "ขอให้เลือกการโทรศัพท์มากกว่าการส่งข้อความ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจโชเฟอร์ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา คนร้ายมันก็ไม่เกรงใจเรา"
ตลอดการสัมภาษณ์ สาวนัตยาใช้คำแทนตัวเองว่าพี่ทุกครั้ง ซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่นกับผู้ฟัง โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ต้องนั่งแท็กซี่ยามค่ำคืนคนเดียว การมีเพื่อนคุยเสมือนพี่สาวคอยสั่งสอนให้ระวังตัวเองบ้าง ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบบ้าง ก็ช่วยให้การเดินทางสบายใจไปกว่าครึ่ง.