นอกจากปัญหายอดฮิต “ขอบตาคล้ำ” ที่ทำให้ใบหน้าอิดโรยไม่สดใส “ถุงใต้ตา” ก็เป็นอีกหนึ่งความกังวลที่หลายคนต้องพึ่งมีดหมอเพื่อเคลียร์ใจ!! “ถุงใต้ตา” เกิดจาก 2 สาเหตุคือ กรรมพันธุ์ ซึ่งแก้ยาก เพราะเป็น “ถุงใต้ตาแท้” อันเกิดจากฮอร์โมนในร่างกาย และระบบต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ ทำให้ไขมันและของเหลวไหลมารวมกันบริเวณผิวหนังใต้ตามากเกินไป จนเกิดการป่องนูน ส่วนอีกสาเหตุได้แก่ “ถุงใต้ตาเทียม” เกิดจากระบบไหลเวียนในร่างกายไร้ประสิทธิภาพ ด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น พักผ่อนน้อย, ใช้สายตามาก, ร้องไห้บ่อย, ภูมิแพ้, ไซนัส, ทานเค็มจัด, ดื่มแอลกอฮอล์ประจำ, โดนแสงแดดมากเกินไป, เครียดบ่อย หรือฮอร์โมนเพศหญิงลดฉับพลัน จนเกิดการคั่งบวมสะสมเป็นแอ่งน้ำใต้ตา ปัจจุบัน แม้แต่หนุ่มสาววัย 20 ปี ก็ประสบปัญหาแก่กว่าวัยเพราะมีถุงใต้ตา
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ ช่วยให้ “ถุงใต้ตา” ไม่ใช่เรื่องใหญ่จนต้องผ่าตัดอีกต่อไป โดย “พญ.ขวัญสวาสดิ์ สวัสดิผล” ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเดอะสกินดอกเตอร์ บอกเล่าว่า ปัญหาถุงใต้ตาทุกกรณี หากมีอาการไม่มากอาจไม่ต้องศัลยกรรม และทำให้ดูดีขึ้นด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น นวัตกรรม ARL Eye Care จากออสเตรเลีย ช่วยสร้างแรงยึดเหนี่ยวระหว่างเซลล์ ทำให้เกิดการยกตัวของผิวรอบดวงตา อาการคั่งบวมลดลง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อย่างไรก็ดี คุณหมอแนะนำว่า ทางที่ดีที่สุดคือควรป้องกันก่อนเกิดปัญหา โดยลดละเลิกปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดถุงใต้ตา ด้วยการงดอาหารเค็มจัด และหลีกเลี่ยงการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ควรพักสายตาทุก 15 นาที หากรู้สึกกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า ให้นวดคลึงเบาๆ และกลอกตาเป็นวงกลม 5-6 รอบ จากนั้นใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้ว แตะบริเวณหัวตาแต่ละข้างค่อยๆคลึงเบาๆ สลับกับกดจุดนาน 1-2 วินาที.
...