จากกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสเปิดศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางเมื่อปี 2495 ใจความว่า “ข้าพเจ้าตระหนักดีว่างานนี้เป็นงานใหญ่ งานใหม่ และเป็นงานยุ่งยาก เพราะไม่ใช่เรื่องของการศาลเท่านั้น แต่หากมีความสัมพันธ์กับปัญหาการศึกษา ปัญหาทางเศรษฐกิจ และปัญหาเกี่ยวกับสวัสดิภาพของประชาชน” รวมถึงพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฉบับใหม่ มุ่งส่งเสริมแก้ไขพฤติกรรมเด็กให้กลับมาเป็นพลเมืองดี มากกว่าจะลงโทษ!!! ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.จิรนิติ หะวานนท์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง จึงเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดตั้ง “ศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำและประสานการประชุม เพื่อแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็ก เยาวชนและครอบครัว” ภายในศาลเยาวชนทั่วประเทศ ควบคุมและดำเนินการผ่านศูนย์หลัก ที่ตั้งอยู่ภายในศาลเยาวชนฯ ถนนราชินี เขตพระนคร กรุงเทพฯ


แต่เดิมเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำเด็กหรือเยาวชนมาส่งศาล ศาลตรวจการจับพิจารณามอบตัวเด็กหรือเยาวชนให้ผู้ปกครองหรือปล่อยชั่วคราว จะไม่ควบคุมตัวเด็กไว้ เนื่องจากศาลไม่ได้กำหนดมาตรการใดๆจนกว่าจะมีการพิพากษาว่า เด็กมีความผิด จึงใช้มาตรการต่างๆได้ แต่ในกฎหมายใหม่หากศาลพิจารณาเห็นว่า เด็กควรได้รับการแก้ไขพฤติ กรรมให้กลับมาเป็นพลเมืองดี ศาลมีอำนาจที่จะสั่งได้เลย ทั้งนี้คดีที่โดนจับยอดฮิต 1.ยาเสพติด เช่น ยาบ้ายาไอซ์ ฯลฯ ทั้งจำหน่ายและครอบครอง 2. ลักทรัพย์ ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์  3.ความผิดฐาน ทำร้ายร่างกาย เช่น ชกต่อย ตีกัน ยิงกันบนรถเมล์ ฯลฯ 4.ความผิดเกี่ยวกับ เพศ เดี๋ยวนี้เด็กมีความสัมพันธ์ทางเพศเร็วมาก แม้ในบางครั้งเด็กผู้หญิงจะยินยอม แต่ทางกฎหมายอายุที่จะยินยอมร่วมเพศได้ต้องเกิน 15 ปี ถ้าผู้หญิงอายุไม่ถึง 15 ปี ผู้ชายต้องผิดวันยังค่ำ ส่วนความผิดฐานหนักถึงขั้นส่งตัวไปสถานพินิจ เรือนจำ เช่น ทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มียาเสพติดในครอบครองจำนวนมาก เฉลี่ยชดใช้ตั้งแต่ 1-12 ปี ถ้าอายุยังไม่ถึง 15 ปีส่งไปสถานพินิจ ข้างในมีเด็กที่กระทำความผิดชุมนุมกันเยอะ ส่งไปก็เสียแล้ว แถมช่วงอายุที่อยู่ในศูนย์ฝึกฯออกมาก็เป็นวัยฉกรรจ์ สามารถทำผิดได้อีก ต่างกับผู้ใหญ่ที่ออกมาก็แก่แล้ว จึงคิดได้แล้วก็วางมือ!!

บทบาทบนแท่น ศ.ดร.จิรนิติ จึงเน้นเชิงแก้ไขมากกว่า กอปรกับกฎหมายฉบับใหม่ที่ให้สิทธิ์ศาลในการดูแลควบคุมความประพฤติ สิ่งที่ทางพาณิชย์เรียกว่า “บริการหลังการขาย” จึงเกิดขึ้นกับแวดวงศาลเหมือนกัน หากแต่เป็น “บริการหลังการตัดสิน” โดยสังคมทุกภาคส่วนต้องเข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาแบบบูรณาการ เพราะศาลเยาวชนต่างจากศาลผู้ใหญ่ ไม่ได้มุ่งวินิจฉัยตามความผิดที่เกิดขึ้นแล้วลงโทษ แต่จะทำเชิงลึกลงไปว่า เธอทำอย่างนั้น แล้วถ้าฉันจะให้โอกาสเธอแก้ตัว จะช่วยเธอได้อย่างไร ต้องรู้ถึงรากปัญหา!! ภายใน ศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำฯ จึงประกอบด้วย คอสเซอร์เลอร์ มีทั้งนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ผู้พิพากษาสมทบ และผู้ที่ทำงานกับเด็กและเยาวชน ขั้นตอนการทำงาน หลังจากศาลสั่งให้เด็กมารายงานตัว ผู้ปกครองต้องมาด้วยทุกครั้ง เริ่มจากกรอกข้อมูลส่วนตัว หากสาเหตุการกระทำความผิด วิเคราะห์ลงลึกว่ามาจากโหมดไหน เด็กที่มีปัญหาด้านจิตส่งนักจิตวิทยา เด็กที่มีปัญหาสังคมหรือยาเสพติด ก็จะส่งไปบำบัด นอกจากนั้นยังมีกระบวนการเฟ้นศักยภาพ หาต้นทุนชีวิตของแต่ละคน ว่ารักและชอบทางด้านไหน เป็นความเห็นส่งศาลเพื่อการพัฒนาตัวเด็กต่อไปด้วย.

...