ข้อเท้าพลิก ดูเหมือนเป็นอาการทั่วๆ ไป ที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆ โดยเฉพาะคนที่เล่นกีฬา ออกกำลังกาย และสาวๆ ที่ใส่รองเท้าส้นสูง ซึ่งในแต่ละรายก็มีอาการมากน้อยแตกต่างกัน
นายแพทย์เมธี คงเผ่าพงษ์ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ เฉพาะทางเท้าและข้อเท้า โรงพยาบาลเวชธานี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “ข้อเท้าพลิก” ว่า เป็นการบาดเจ็บที่พบได้บ่อย ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการเล่นกีฬาโดยเฉพาะมือสมัครเล่น เนื่องจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบข้อเท้าจะได้รับบาดเจ็บง่าย หรือในกรณีข้อเท้าพลิกที่เกิดจากการเดินในบนพื้นผิวขรุขระ
การบาดเจ็บอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาการจะดีขึ้นเองภายในเวลาไม่กี่วัน จนไปถึงอาการรุนแรงซึ่งต้องได้รับการรักษาและคำแนะนำจากแพทย์ มิฉะนั้นอาจจะเกิดผลแทรกซ้อนและทุพพลภาพในเวลาต่อมา โดยปกติเมื่อมีข้อเท้าพลิก ส่วนใหญ่จะเป็นการพลิกเข้าด้านใน ซึ่งจะทำให้เอ็นข้อเท้าทางด้านนอกได้รับบาดเจ็บ ในทางการแพทย์ได้แบ่งความรุนแรงของการบาดเจ็บออกเป็น 3 ระดับ
ระดับที่ 1 มีการยืดหรือช้ำของเอ็น อาจจะพบเพียงบวมและกดเจ็บบริเวณเอ็นที่ได้รับบาดเจ็บ
ระดับที่ 2 จะมีการฉีกขาดของเอ็นเพียงบางส่วน (โดยปกติจะไม่เกินร้อยละ 50) ในกลุ่มนี้จะปวดและบวมค่อนข้างมากจนอาจจะทำให้เดินลงน้ำหนักไม่ค่อยได้
ระดับที่ 3 ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุด จะมีการฉีกขาดของเอ็นทั้งหมด มักจะพบว่าไม่สามารถเดินลงน้ำหนักได้ และส่วนใหญ่จะพบว่ามีความหลวมของข้อ
การดูแลเบื้องต้นเมื่อได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้า
นายแพทย์เมธี แนะนำว่า ให้ลดการใช้งานของข้อที่ได้รับบาดเจ็บ และประคบด้วยความเย็นเพื่อลดอาการปวดและความบวม โดยอาจใช้ผ้าเย็นสำเร็จรูป หรือน้ำแข็งผสมน้ำประคบจนรู้สึกว่าชาแล้วเอาออก หลังจากนั้นมาพบแพทย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินลงน้ำหนักได้ ซึ่งบ่งบอกว่ามีการบาดเจ็บรุนแรง ต้องการรักษาจากแพทย์ เมื่อท่านมาถึงโรงพยาบาล แพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยอาจจะส่งตรวจภาพถ่ายรังสีในกรณีที่สังสัยว่ามีกระดูกหักหรือการบาดเจ็บอื่นร่วมด้วย เนื่องจากการบาดเจ็บของข้อเท้าโดยการพลิกเข้าด้านในอาจทำให้มีกระดูกหักได้ เช่น บริเวณตาตุ่มด้านในและนอก กระดูกฝ่าเท้า รวมไปถึงกระดูกผิวข้อของข้อเท้า
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเอ็นข้อเท้าพลิก
...
แพทย์จะประเมินความรุนแรงของการบาดเจ็บแล้วให้การรักษา โดยการรักษาในระยะแรกจะมุ่งเน้นเพื่อลดความเจ็บปวดและความบวม ซึ่งได้แก่ การยกขาสูง ประคบความเย็น การให้ยาแก้ปวดและยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ การพันผ้ายืด เป็นต้น และอาจจะพิจารณาใส่เฝือกกรณีมีการบาดเจ็บรุนแรงมาก ส่วนการรักษาในระยะต่อมาจะเป็นการกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และความรู้สึกของเอ็นรอบข้อเท้าเพื่อที่จะป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ ซึ่งโดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
ข้อควรรู้และพึงระวัง
การประคบเย็น อาจจะใช้น้ำแข็งผสมน้ำใส่ถุงพลาสติกห่อด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง แล้ววางบริเวณที่บาดเจ็บโดยปกติสามารถวางได้นานถึง 20 นาที หรือจนมีความรู้สึกชา โดยให้ทำเช่นนี้ทุก 2-4 ชั่วโมง เป็นเวลา 2-3 วัน
การป้องกันไม่ให้เกิดข้อเท้าพลิกซ้ำ เช่น การใส่รองเท้าหุ้มข้อ หรือ Ankle support หลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูง หลีกเลี่ยงใช้งานในพื้นที่เสี่ยงต่อการพลิกซ้ำ เช่น พื้นต่างระดับ บันได
การกลับมาใช้งาน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการบาดเจ็บ โดยปกติถ้าบาดเจ็บไม่มากสามารถเดินลงน้ำหนักได้หลังจากอาการปวดบวมเริ่มทุเลา แต่อาจจะต้องมีการเสริมความมั่นคงของข้อเท้าด้วยการพันผ้ายืด (elastic bandage) หรือสวมเครื่องพยุงข้อเท้า (ankle support) ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
จะเล่นกีฬาได้เมื่อไร เช่นเดียวกันกับการกลับมาใช้งาน ท่านสามารถกลับมาออกกำลังกายได้หลังจากอาการปวดบวมดีขึ้น เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน แต่ควรจะงดกีฬาที่จะต้องมีการบิดหมุนของข้อเท้า เช่น การวิ่ง การเต้น เป็นต้น ช่วงระยะเวลาหนึ่งปกติใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
เมื่อไหร่จึงจะผ่าตัด?
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ กล่าวว่า เมื่อพยายามรักษาอย่างถูกวิธี หรือไม่เคยรักษามาก่อน แล้วยังมีข้อเท้าพลิกเรื้อรัง จนทำให้เกิดอาการข้อเท้าหลวม (6-9 เดือน) ซึ่งแพทย์เฉพาะทางจะทำการตรวจร่างกาย เอกซเรย์ ตลอดจนการตรวจเอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อยืนยันการวินิจฉัยว่าเอ็นข้อเท้าขาด หลวมจริง ตลอดจนจำแนกชนิดของเอ็น และภาวะอื่น เช่น การบาดเจ็บของกระดูกอ่อนผิวข้อ เอ็นและกล้ามเนื้ออื่นๆรอบข้อเท้าบาดเจ็บร่วมด้วย การผ่าตัดควรทำโดยแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งอาจใช้วิธีเย็บซ่อมและคลุมด้วยเอ็นเยื่อหุ้มข้อเท้า หรือวิธีอื่นๆ เช่น การใช้เอ็นจากข้อเท้า หรือเข่ามาทำหน้าที่แทนเอ็นที่ขาด ซึ่งแพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดให้เหมาะสมในแต่ละผู้ป่วย
คลินิกกระดูกและข้อ โรงพยาบาลเวชธานี