การมีผิวขาวใส เป็นสิ่งที่ผู้รักผิวทุกคนปรารถนา เพราะเป็นปราการด่านแรกที่สร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็น สำหรับปัญหาผิวพรรณอย่าง ฝ้า กระ รอยดำจากสิว ยังคงเป็นปัญหายอดฮิตกวนใจหลายต่อหลายท่าน จนต้องค้นหาโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อเป็นทางลัดสู่ผิวสวย ปัจจุบันมีการคิดค้นวิธีการที่เรียกว่า “Whitening Peeling” การลอกหรือผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน โดยไม่ทำร้ายผิว ที่สำคัญวิธีนี้ยังช่วยเผยผิวให้ดูขาวใสกว่าที่เคย ลดเลือนฝ้า กระ รอยดำจากสิว และยังทำให้สิวลดลงได้อีกด้วย
แพทย์หญิง ดวงกมล ทัศนพงศากุล อายุรแพทย์โรคผิวหนัง โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า โดยปกติผิวหนังของคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผิวหนังจะประกอบด้วย ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมัน เซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าจะมีการสร้างขึ้นใหม่ตลอดเวลาจากชั้นลึก และจะมีการเคลื่อนจากชั้นลึกสู่ชั้นบน และลอกหลุดไปเป็นขี้ไคล โดยใช้ระยเวลาประมาณ 28 วัน ซึ่งหลักการของ “Whitening Peeling” หรือ “Chemical Peeling” คือ การลอกหน้าด้วยสารเคมีที่คิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับผิวหนัง ฟังเผินๆ อาจดูน่ากลัว แท้จริงแล้ว ก็คือการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนโดยใช้สารเคมีที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคนทาบนผิวหนัง ทำให้เกิดการลอกหลุดของเซลล์ผิวหนังชั้นบน ตามมาด้วยการสร้างเซลล์ผิวหนังขึ้นใหม่ โดยผิวหนังที่สร้างขึ้นใหม่จะมีความนุ่มนวล ผิวดูกระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอกว่าเดิม พร้อมทั้งไปกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
วิธีการทำ AHA และ Whitening Peeling มีความแตกต่างกันอย่างไร
โดยส่วนใหญ่คนทั่วไปอาจจะคุ้นเคยกับการทำ AHA Peeling ซึ่งจะให้ผลช่วยในเรื่องผิวขาวใส ลดความมันบนใบหน้า ลดสิวอุดตัน แต่ในผู้ที่เป็นสิวอักเสบอาจทำให้มีสิวเห่อมากขึ้นได้ ในขณะที่ Whitening Peeling จะช่วยเผยผิวหน้าขาวใส ช่วยลดเลือน ฝ้า กระ รอยดำจากสิวหรือเลเซอร์ ช่วยลดริ้วรอย ลดสิวอักเสบ สิวอุดตัน นอกจากนี้ยังช่วยในการรักษาขนคุด รอยคล้ำบริเวณใต้วงแขน ในบางรายเห็นผลการรักษาชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
AHA มีส่วนประกอบที่ผลิตจากอ้อย ซึ่งจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป หลังจากทำ AHA Peeling จึงช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แล้วมีการสร้างเซลล์ผิวใหม่จึงทำให้ผิวขาวใสขึ้น แต่ไม่ได้ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี
Whitening Peeling ประกอบด้วยกรดหลายชนิดรวมกัน แต่ในความเข้มข้นไม่สูง เพื่อลดผลข้างเคียงของกรดแต่ละตัว และมีข้อดีคือ กรด AHA ที่ผลิตจากนม ซึ่งจะช่วยทั้งผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป และช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากพืช เช่น โคจิก (Kojic), อาร์บูติน (Arbutin) และ ไวตามิน ซี (Vitamin C) ที่ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ทำให้ฝ้า จุดด่างดำ จางลงได้เร็วขึ้น
ประโยชน์ของ “Whitening Peeling”
“Whitening Peeling” จะต้องกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนังเท่านั้น โดยจะมีการลอก/ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนด้วยสารเคมีที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อให้ผลการรักษาในด้านต่างๆ อาทิ ช่วยรักษาสิว ลดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวอุดตัน ช่วยรักษาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอบนใบหน้า เช่น กระ ฝ้าชนิดตื้น กระแดด ความผิดปกติของเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้า นอกจากนี้ยังช่วยรักษารอยแผลเป็นจากสิว ริ้วรอยบนใบหน้าที่ตื้นๆ ได้อีกด้วย
วิธีการเผยผิวสวย ด้วย “Whitening Peeling”
หลังจากล้างหน้าให้สะอาดแล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทาสารเคมีบนบริเวณผิวหน้า โดยสารเคมีดังกล่าวจะมีชนิดของความเข้มข้น และระยะเวลาที่ทาแตกต่างกันไป ขึ้นกับความเหมาะสมกับผิวของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ระหว่างที่ทำการรักษาอาจมีอาการแสบเล็กน้อย และรู้สึกยิบๆ บริเวณที่สารเคมีสัมผัสเกิดขึ้นได้
แพทย์หญิงดวงกมล แนะนำถึงการปฏิบัติตัวหลังทำ “Whitening Peeling” เพื่อผลที่ดียิ่งขึ้นว่า หลังทำ “Whitening Peeling” ควรใช้สารกันแดด และหลีกเลี่ยงแสงแดด เพื่อประสิทธิภาพที่ดีในการรักษา รวมถึงหลังทำอาจมีขุยเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง ไม่ควรเร่งให้ขุยหลุดเร็วขึ้นด้วยการลอกหรือขัดหน้า ควรให้หลุดลอกออกไปเอง แต่ถ้าหน้าแห้งหรือคันแนะนำให้ทามอยเจอร์ไรเซอร์ได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ขุยจะหลุดลอกหมดภายใน 5 วัน.
...