"อีน-รัฐวดี บัวเลิศ" ลูกสาวคนเดียวของ "ราศี บัวเลิศ" คุณแม่ของเธอคือผู้หญิงเก่งที่น่ายกย่องเป็นแบบอย่าง...เป็นคุณแม่ที่มีแต่ความรักและความหวังดีต่อลูก...
สายตาของคนทั่วไป ถ้าพูดถึงหญิงเหล็กนาม "ราศี บัวเลิศ" คงหนีไม่พ้นคำว่า "เจ้าแม่ค้าอาวุธ" แม้ภายหลังเธอจะผันตัวมาเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มตัว แต่ก็ไม่สามารถลบภาพลักษณ์เดิมๆได้ และยิ่งระยะหลังมานี้กลับเลวร้ายหนัก เมื่อเจอปล่อยข่าวว่าล้มละลาย!!
ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับคนเป็นลูก อย่าง "อีน-รัฐวดี บัวเลิศ" ลูกสาวคนเดียวของ "ราศี บัวเลิศ" คุณแม่ของเธอคือผู้หญิงเก่งที่น่ายกย่องเป็นแบบอย่าง...เป็นคุณแม่ที่มีแต่ความรักและความหวังดีต่อลูก
"คุณแม่มีความทะเยอทะยานสูง ท่านตั้งเป้าไว้ว่า งานแรกที่ทำต้องเป็นผู้จัดการ ไม่ขอทำอะไรพื้นๆ ท่านได้แรงบันดาลใจจากละครวิทยุ ในละครเรียกนางเอกว่าคุณผู้หญิง คุณแม่เลยบอกตัวเองว่า วันหนึ่งฉันจะต้องเป็นคุณผู้หญิง!! ท่านเป็นลูกคนเดียวที่เดินทาง จากอุตรดิตถ์เข้ามาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ โดยงานแรกที่สมัครคือตำแหน่งผู้จัดการบริษัทไฟแนนซ์ ท่านไม่ชอบทำอะไรเล็กๆ คุณแม่มีบุคลิกที่กล้าพูด มีความสามารถในการโน้ม น้าวใจคนและเป็นคนขยัน ในที่สุดก็สามารถไต่ เต้าสร้างฐานะมาได้เรื่อยๆ
...คุณแม่ เป็นบุคคลตัว อย่างคนหนึ่ง ที่สร้างตัวเองจากคนที่ไม่มีพื้น ฐานครอบครัว ท่านพูดเสมอว่า ตั้ง แต่เล็กๆได้ บอกตัวเองว่า วันหนึ่งต้องสร้างอนาคตให้ครอบครัว ทำให้ลูกสบายที่สุด คุณแม่ทำงานหนักมาก ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ท่านต้องเลี้ยง "อีน" ตาม ลำพังตั้งแต่เกิด เพราะเลิกกับคุณพ่อ"...ลูกสาวคนเดียวของเจ้าแม่ค้าอาวุธ ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อคุณแม่

เท่าที่จำความได้ ชีวิตวัยเด็กขาดความอบอุ่นไหมคะ
...
"อีน" เป็นลูกโทน ไม่มีพี่น้องเลย แต่เป็นคนญาติเยอะ คุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่จำความได้ก็โตมากับคุณตาคุณยายที่อุตรดิตถ์ คุณแม่เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก พอถึงวัยเข้าโรงเรียน คุณตาคุณยายก็ตามมาอยู่ที่กรุงเทพฯเพื่อช่วยดูแล "อีน" ทำให้สนิทกับคุณยายมาก เรียกคุณยายว่าแม่ตลอด
ตอนนั้นที่บ้านมีฐานะหรือยัง
คุณตาเคยรับราชการ ส่วนคุณยายมีที่นาให้คนเช่า แต่ก็ไม่ร่ำรวยอะไร เพิ่งจะมามีฐานะจากการสร้างตัวของคุณแม่
แล้วคุณแม่เริ่มตั้งตัวมีบ้านช่องใหญ่โตตอนไหนคะ
พอคุณแม่เก็บหอมรอมริบได้ประมาณหนึ่งจากงานผู้จัดการไฟแนนซ์ ท่านก็สร้างบ้านหลังแรกแถวลาดพร้าว 71 สมัยก่อนมีแต่ทุ่งหญ้า จนกระทั่ง "อีน" อายุ 8 ขวบ ถึงได้ย้ายบ้านมาอยู่ที่บ้านหลังปัจจุบันแถวสุทธิสาร ซึ่งใหญ่โตพอสมควรเลย และก็อยู่ที่บ้านหลังนี้มาถึงปัจจุบัน เท่าที่จำได้คือ คุณแม่เป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จเร็วมาก ตั้งแต่อายุแค่ 30 ปี
นอกจากการค้าอาวุธแล้ว อะไรคือธุรกิจหลักที่ทำให้คุณแม่รวยเร็ว
หลังจากซื้อบ้านหลังใหม่ไม่นาน คุณแม่ก็ตั้งบริษัทของตัวเองในนามกลุ่มธุรกิจเจริญเลิศ ตอนหลังเปลี่ยนเป็นแชลเลนจ์ กรุ๊ป ทำโครงการด้านเรียลเอสเตท ซึ่งโครงการใหญ่ที่ทำให้โด่งดังคือ สเตท ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ เป็นคอมเพล็กซ์หรูบนถนนสีลม อาคารสูง 68 ชั้น และมีชั้นใต้ดินอีก 6 ชั้น มูลค่าลงทุนเกือบ 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอะไรที่หินมากๆ เพราะตอนทำเกิดวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทลอยตัวปี 2540 แต่ยังไงคุณแม่ต้องสู้ เพราะไปเทกโอเวอร์มาจากคนอื่นแล้ว และถึงจะรู้ว่าสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ก็ต้องทำต่อจนสำเร็จ เพราะสเตท ทาวเวอร์ เป็นเหมือนโครงการในฝัน มีครบทุกอย่าง ทั้งที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน, เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์, พื้นที่พลาซ่า และโรงแรม นอกจากนี้ คุณแม่ยังทำธุรกิจหมู่บ้านจัดสรรด้วย ในเครือของกลุ่มยิ่งรวยธานี ทำหมู่บ้านยิ่งรวยนิเวศน์ และโรยัล ปาร์ควิลล์ สุวินทวงศ์
มีคุณแม่เป็นหญิงเหล็กขนาดนี้ ยากไหมคะกว่าจะพิสูจน์ตัวเอง
(พยักหน้า) "อีน" ไปเรียนไฮสกูลที่อังกฤษ และจบปริญญาตรีด้านการจัดการธุรกิจ ตอนปี 2540 เป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเมืองไทยพอดี กลับมาถึงเมืองไทยเลยขอคุณแม่ไปเรียนต่อเอ็มบีเอที่ศศินทร์ จุฬาฯ เพื่อสร้างคอนเนคชั่น เรียนจบปั๊บก็มาทำงานที่บริษัทใหม่ของคุณแม่คือ แชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้ เกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นช่วงที่คุณแม่เทกโอเวอร์ตึกสเตท ทาวเวอร์มาจากคนอื่น ตอนนั้นสร้างค้างไว้แค่ 10 กว่าชั้น คุณแม่ให้ "อีน" เข้ามาทำงานเป็นผู้ช่วยซีอีโอ อายุ 26 ปี ก็ได้เป็นผู้บริหารมืออาชีพแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆยังอยู่ในขั้นเรียนรู้งาน ไม่ได้บริหารอะไรหรอก ทำงานแบบได้รับมอบหมาย แต่เราเสียนิสัย เวลาทำอะไรน้อยๆจะรู้สึกว่าไม่สนุก ไม่ท้าทาย เลยต้องขอคุณแม่ไปทำอย่างอื่น
คราวนี้ได้มีโอกาสสร้างผลงานไหมคะ
ขอไปดูโครงการทำหมู่บ้านยิ่งรวยนิเวศน์แถวประชาชื่น เพราะเอ็มดีลาออกพอดี "อีน" เลยอาสาคุณแม่ว่าอยากแสดงฝีมือ ทำอะไรที่ได้นั่งบริหารทุกอย่างด้วยตัวเอง คิดในใจว่าตึกสเตท ทาวเวอร์ อาจใหญ่เกินไปสำหรับเรา แต่วันหนึ่งหนูจะกลับมาช่วยราชสีห์!! ตอนนี้ขอไปทำอะไรที่ได้ลองใช้ความสามารถเต็มที่ ได้ลองเป็นผู้นำและผู้จัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ตอนนั้นสร้างหมู่บ้านค้างอยู่ เพิ่งสร้างไปได้ 60% แล้วการซื้อชะลอตัว "อีน" ก็เข้าไปทำ โดยเริ่มจากการปรับโครงสร้างหนี้และสร้างเฟสเก่าต่อจนเสร็จ แต่ยังเหลืออีก 3 เฟสที่ต้องพัฒนา "อีน" ก็ลุยไปคนเดียวเลย เข้าไปถึงปุ๊บก็แนะนำตัวกับพนักงานทุกคน และเริ่มลงมือจัดการรีไฟแนนซ์ หาแหล่งเงินใหม่ จัดระบบบริหารงานใหม่ คิดทบทวนเรื่องต้นทุนใหม่หมด คิดแบบบ้านใหม่ คิดกลยุทธ์การขายใหม่ จนกระทั่ง 2 ปี สามารถปิดโครงการได้ ขายบ้านทุกหลังได้หมด ก็ถือเป็นผลงานพิสูจน์ตัวเอง "อีน" ชอบทำในสิ่งที่คนเขาทิ้ง ชอบอะไรที่ท้าทาย ...มันคงอยู่ในสายเลือดเหมือนคุณแม่
...
หลังพิสูจน์ตัวเองจากยิ่งรวยนิเวศน์ ได้แสดงฝีมือด้านไหนอีก
ขณะนั้นตึกสเตท ทาวเวอร์ สร้างเสร็จแล้ว ตอนแรกทำตึกให้คนเช่าอย่างเดียว แต่พอเศรษฐกิจมีปัญหา กำลังซื้อหดตัว ตึกหลังนี้มีทั้งหมด 1,700 ห้อง เพิ่งขายไปได้แค่ 600 ห้อง ยังเหลืออีกพันกว่าห้อง ใช้เวลาสร้างหลังเทกโอเวอร์เกือบ 10 ปี ทางบอร์ดเลยตัดสินใจแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของตึกไปทำโรงแรม และจ้างผู้บริหารมืออาชีพจากสิงคโปร์มาดูแล โดยซื้อเชนเมอริตัส โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ตจากสิงคโปร์ คราวนี้ก็เลยเหลือแต่ยอดโดม ทางบอร์ดแนะนำให้ตัดส่วนนี้ขายทิ้งไปหรือให้คนอื่นเช่า จะแบกรับความเสี่ยงเองทำไม แต่ "อีน" ไม่ยอม ก็เกาะลิฟท์ก่อสร้างขึ้นไปดู โอ้โห...ความรู้สึกแรกที่เห็นคือขนลุก วิวสวยมาก บอกคุณแม่ว่า อยากทำร้านอาหารบนนี้ได้ไหม ถึงเวลาแล้วที่หนูจะช่วยราชสีห์!! คุณแม่ก็ถามกลับว่า ลูกจะไหวเหรอ มันใหญ่นะ เรายืนยันว่า ทำไหว อยากทำ ทั้งๆที่มีแต่เสียงค้านรอบด้าน พูดกับคุณแม่เลยว่า "อีน" ขอนะ รู้ว่าเสี่ยงมาก และความสำเร็จจากยิ่งรวยนิเวศน์อาจถูกลบเลือนไปถ้าเราพลาดครั้งนี้ แต่คุณแม่ แฟร์มาก บอกเลยว่า ในชีวิตแม่ก็เสียหายเพราะคนอื่นมาเยอะแล้ว ถ้าลูกตัวเองทำเสียหายอีกสักครั้ง มันจะเป็นไรไป!!
แล้วประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า
ใช้เวลา 6 เดือน ก็เสร็จเป็นรูปเป็นร่าง ตั้งชื่อว่า "เดอะโดม" ได้รับการตอบรับดีมากๆ จนเป็นจุดขายของโครงการ ก็บอกคุณแม่ว่า ทุกคนในบอร์ดคงลำบากใจ เอาอย่างนี้ "อีน" ขอแยกบริษัทได้ไหม ขอตั้งบริษัทใหม่เลย ถ้าเกิดมีอะไรเสียหาย ถ้าล้มเหลว คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะว่าจะลำบากใจ เพราะคนอย่าง "อีน" ถ้างานนี้ทำไม่สำเร็จคงไม่มีหน้าเดินเข้ามาบริษัทหรอก คุณแม่ เหนื่อยมากกับตึกนี้ ทุนมันจม แบงก์ก็หยุดๆปล่อยๆ ขอให้ลูกได้ช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง บริษัทใหม่มี "อีน" เป็นพนักงานคนเดียว แต่ตอนนั้นฮึดสู้ บอกคุณแม่ว่า ตอนนี้ที่บริษัทของแม่มีปัญหาเรื่องการเงินไม่คล่องตัวเหมือนสมัยก่อน ลูกจะหาทุนจากเมืองนอกเอง
...
แล้วในส่วนธุรกิจโรงแรม โกอินเตอร์ไปเปิดที่นิวซีแลนด์ได้ยังไง
เริ่มจากทางเชนเมอริตัส โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ตของสิงคโปร์ หมดสัญญากับเรา คุณแม่เลยให้ "อีน" เข้ามาดูแลเรื่องการรีแบรนด์โรงแรมใหม่ทั้งหมด เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ก็เปลี่ยนทุกอย่าง ตั้งแต่คอนเซปต์การตกแต่งไปจนถึงชื่อโรงแรม ตั้งใหม่ว่า "เลอบัว แอท สเตททาวเวอร์" และผลักดันจนโรงแรมเรา ได้ขึ้นมาอยู่แถวหน้าของเอเชีย ตอนหลังจึงเปลี่ยนมาเป็นกลุ่มเลอบัว โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต
สักพักคุณแม่ก็มาบอกว่า แม่มีโปรเจกต์ใหม่ให้ลูกทำ คือท่านซื้อที่ดินไว้แถวทะเลสาบเลค โอคาเรก้า ซึ่งเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่สวยที่สุดของโรโตรัว เมืองท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆของนิวซีแลนด์ เป็นบ้านเกิดของชนพื้นเมืองเมารี
"อีน" เสนอว่า น่าจะทำเป็นโรงแรมสไตล์เจ็ตเซ็ต ขายความเป็นไพรเวทสูงสุด และความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ซึ่งคุณแม่เห็นด้วย และตั้งชื่อให้ว่า "เลค โอคาเรก้า ลอดจ์ บาย เลอบัว" เปิดบริการมาได้ 2 ปีกว่า สร้างในลักษณะลอดจ์ริมทะเลสาบโดดเดี่ยวหลังเดียว สามารถรองรับแขกได้กลุ่มเดียวต่อครั้ง และพักได้สูงสุด 9 คน ภายในมีห้องสวีต 3 สไตล์, ห้องทำงานส่วนตัว, สปา เลานจ์ และบัตเลอร์กับเชฟส่วนตัว คอยบริการตลอด 24 ชม. ยังมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ด้วย ถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายคืนละแสนกว่าบาท
คุณแม่ถ่ายทอดเคล็ดลับการทำงานให้บ้างไหม
คุณแม่ไม่สอนตรงๆ แต่จะได้มาทางอ้อมจากการได้ฟังได้ยิน คุณแม่ไม่เคยมานั่งเป็นพี่เลี้ยง ประกอบกับบุคลิกของเราก็เป็นคนไม่ง้องแง้ง เป็นตัวของตัวเอง ไม่เคยออเซาะแม่ จะชอบทำอะไรเอง ขับรถก็ขับเอง กระนั้นคุณแม่ก็เป็นคนแรกที่จะปรึกษาทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องงาน บางทีเวลาเราทำงานแล้ววิ่งไปข้างหน้ามากๆ อาจจะลืมบอกตัวเองให้หยุดพัก คุณแม่จะบอกเสมอว่า ลูกลองยืนอยู่เฉยๆสักแป๊บแล้วหันหลังมองรอบๆตัว...คำแนะนำของคุณแม่มักจะมีอะไรดีๆให้เราเสมอ คุณแม่เป็นคนฉลาด ท่านเป็นนักจิตวิทยาตัวยงคนหนึ่ง ท่านมีวิธีพูดให้เราแกร่ง มีความมั่นใจ ทำให้รู้สึกว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นของเรา
...
รู้สึกยังไงบ้างที่มีข่าวว่า "ราศี บัวเลิศ" ล้มละลาย
อันนั้นก็เป็นเรื่องธุรกิจของคุณแม่นะคะ (ตอบน้ำเสียงแข็ง...และเปลี่ยนเรื่องพูดทันที)
เวลาอยู่ด้วยกันเป็นแม่ลูกสไตล์ไหนคะ
เราไม่ใช่แม่ลูกที่หวานแหวว ไม่เคยชวนกันไปช็อปปิ้ง เรื่องที่คุยส่วนใหญ่เป็นเรื่องธุรกิจ แต่เวลารู้สึกหม่นหมองเหลือเกิน นึกอะไรไม่ออก ก็จะปรึกษาคุณแม่ ขอกำลังใจ คุณแม่มักพูดว่า ทำอะไรอย่ามองเฉพาะตัวเราเอง ต้องดูสถานการณ์โดยรวม ปัญหามีไว้แก้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่แก้ไขไม่ได้ เราเจออะไรก็สู้กับมัน...ลูกโชคดีนะ เกิดเป็นลูกเศรษฐี ไม่เหมือนแม่ ที่เกิดเป็นลูกคนชั้นกลาง ต้องสร้างฐานะด้วยลำแข้งตัวเอง!!
ทีมข่าวหน้าสตรี