แม้จะเนิ่นนานมา 17 ปีแล้ว กับการเสด็จสู่สวรรคาลัยของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แต่ความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อประชาชนชาวไทยก็ยังไม่จางหายตามกาลเวลา วันนี้ไทยรัฐออนไลน์จึงได้รวบรวมพระกรณียกิจต่างๆ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติ เพืื่อเป็นการระลึกถึงพระทัยอันงดงามของพระองค์
1. วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2543 เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบ 100 ปี องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้เฉลิมพระเกียรติยกย่องให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็น “บุคคลสำคัญของโลก”
2. สมเด็จย่าทรงจัดตั้งหน่วย หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) เป็นหน่วยแพทย์อาสาเคลื่อนที่ที่เดินทางไปในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และสมาชิกสมทบอีกคณะหนึ่ง ซึ่งไม่ได้รับสิ่งตอบแทนทั้งเบี้ยเลี้ยง และเงินเดือน
3. สมเด็จย่าเป็นต้นแบบของมารดากษัตริย์ที่สอนลูกให้เป็นคนรู้จักค่าของสิ่งของ อย่างเช่นเมื่อตอน ในหลวงทรงพระเยาว์อยากได้จักรยานขี่เหมือนคนอื่นๆ กลับจากโรงเรียนไปขอเงินกับสมเด็จย่า สมเด็จย่าไม่ให้ แต่บอกว่า "ให้ลูกเก็บเงินหย่อนกระปุกออมสินเต็มเมื่อไหร่จะพาไปซื้อ"
4. มอบรอยยิ้มแก่คนพิการ โดยพระองค์จัดตั้ง มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อทำขาเทียมและพระราชทานแก่ผู้พิการขาขาดที่ยากจนในชนบท โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา และไม่คิดมูลค่า ซึ่งมูลนิธิขาเทียมฯ นี้ ทรงก่อตั้งร่วมกับสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยพระองค์ท่านพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นทุนประเดิมในการก่อตั้งมูลนิธิและทรงดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์อีกด้วย
5. เพราะด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่คอนช่วยเหลือพสกนิกรผู้ยากไร้ตลอดชีวิตของสมเด็จย่า ทำให้คณะรัฐมนตรีในปี 2528 กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ ด้วยเหตุผลที่ว่า พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายและเวลา เพื่อสร้างประโยชน์ให้บังเกิดแก่ประชาชนตลอดมา โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก สมควรเป็นปูชนียบุคคลที่นักสังคมสงเคราะห์ควรถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติงานของตนต่อไป ดังนั้น ในวันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ภาครัฐบาลและภาคเอกชนจึงได้ร่วมกันจัดงานแสดงกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการสังคมสงเคราะห์ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าโดยไม่ เลือกเชื้อชาติศาสนา
...
6. พระองค์เป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างแท้จริง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านนี้หลายโครงการ อาทิ โครงการพัฒนาดอยตุง เมื่อปี พ.ศ. 2531, พระราชทานกล้าไม้แก่ผู้ตามเสด็จ และทรงปลูกป่าด้วยพระองค์เอง, ทรงนำเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกา และไม้ดอกมาปลูก, โครงการขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหน่อไม้ฝรั่ง กล้วย กล้วยไม้ เห็ดหลินจือ สตรอเบอรี่ และจัดตั้งศูนย์บำบัด และฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ที่บ้านผาหมี ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
จากพระราชอุตสาหะดังกล่าว และโครงการที่ยังมิได้นำเสนอขึ้นมาข้างต้นนี้ ยอดดอยที่เคยหัวโล้นด้วยการถางป่า ทำไร่เลื่อนลอย ปลูกฝิ่น จึงได้กลับกลายมาเป็นดอยที่เต็มไปด้วยป่าไม้ตามเดิม ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงได้รับการขนานนามว่า สมเด็จย่า จากชาวไทยบนพื้นราบ หรือ แม่ฟ้าหลวง จากชาวไทยภูเขา.