กว่า 3 ทศวรรษที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการละครและนางงาม คุณแดง–สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ได้รับการขนานนามให้เป็น “เจ้าแม่” และ “อาจารย์ใหญ่” ผู้ทรงอิทธิพลอย่างสูงถึงสูงที่สุด มีสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายอนาคตดารานักแสดงทั่วฟ้าเมืองไทย และแม้จะเพิ่งผ่านพ้นมรสุมลูกใหญ่มาหมาดๆ แต่บารมีของ “นายหญิงแห่งวงการบันเทิง” ก็ยังไม่เคยจางหายไปไหน
เมื่อถึงเวลาที่วิกฤติพิสูจน์มิตรแท้!! “คุณแดง” ได้เปิดห้องครูใหญ่โรงเรียนเรวดี เลียบคลองประปา บนถนนประดิพัทธ์ เพื่อพูดคุยเปิดอกแบบหมดเปลือกกับทีมข่าวหน้าสตรีไทยรัฐ ถึงเรื่องราวชีวิตที่เข้มข้นดราม่ายิ่งกว่าละครหลังข่าว และสารพัดโปรเจกต์ในอนาคต ที่พร้อมลุยเต็มลูกสูบ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้วงการมายา
รู้สึกยังไงบ้างคะที่สื่อขนานนามให้เป็น “เจ้าแม่วงการบันเทิง”
คิดกันไปเอง ไม่เห็นจะจริงสักหน่อย!! เราอาจจะจริงจังกับทุกอย่าง พร้อมจะพูดจะสอน แต่ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอิทธิพลขนาดนั้น และถ้ามีก็ไม่เคยใช้ซะด้วย!! สิ่งที่มีคือความหวังดี เวลาเตือนพวกดาราก็พูดด้วยความหวังดี เราผ่านมาแล้วมีประสบการณ์มาก่อน จึงไม่อยากให้ผิดอย่างที่เคยผิด พวกเด็กๆคงรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก ถึงได้กลัวกันไปเอง ก็มีบ้างที่เรียกเข้าไปคุยในห้อง ซึ่งจะลือกันว่า “คุณแดงเรียกไปเข้าห้องเย็น” คือเรียกเข้าไปคุยมากกว่า ซักถามว่ามีปัญหาอะไร ทำไมถึงทำแบบนั้น อะไรที่ต้องแก้ไขจะบอกตรงๆ แต่คุยแล้วก็จบนะ ไม่เคยยึดติด มันผ่านไปแล้วก็ผ่านไป เหมือนทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต อาจมีอะไรไม่ถูกต้อง แต่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ถึงพยายามจะรักษาไว้อย่างดีที่สุด แต่อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ดิ้นรนยังไงก็ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราคิดว่า สิ่งที่ทำถูกต้อง และทำแล้วสบายใจ มันก็เป็นความสุขใจ อย่าไปอยากมีอยากได้อะไรเลย คนเราจะอยู่ไปได้สักเท่าไหร่ คิดได้แบบนี้ก็เลยไม่ยึดติดแล้ว
ถึงวินาทีนี้ยังรักเลข 7 อยู่ไหมคะ
ตัวเลขเป็นของสมมติ บอกแล้วว่าไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น เราอยู่ให้มีความสุข สุดท้ายชีวิตคนเรา ...เพื่อนดีที่สุด เวลาเกิดวิกฤติทำให้รู้ว่าใครคือเพื่อนแท้ คือเวลาลำบากไม่ สบายใจ ถ้าเรามีเพื่อนดีๆก็จะผ่านพ้นไปได้ ชีวิตนี้อย่าอยู่โดยไม่มีเพื่อนเด็ดขาด ถึงจะร่ำรวยอย่างไร ถ้าไม่มีเพื่อนก็ไม่มีความสุข เงินไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ!! เราไม่ใช่คนกินเยอะใช้เยอะ ปีนี้ก็อายุ 70 แล้ว ถึงเวลาเคาต์ดาวน์นับถอยหลังแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ขอทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นและสังคมบ้าง มีเวลาสำหรับไปเที่ยวเล่น และทำในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเองบ้าง
เวลาเครียดๆเกิดปัญหารุมเร้า หาทางออกยังไงให้ชีวิต
เป็นคนจริงจังกับงาน ทำอะไรทุ่มสุดตัว ที่ผ่านมาเคยเครียดขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล เกือบเสียตาไปข้างหนึ่ง เพราะจู่ๆก็มองอะไรบิดเบี้ยวไปหมด ไปหาหมอตรวจเจอว่า จอประสาทตาย่น เพราะเครียดเกินไปทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็บอกตัวเองเลยว่า พอแล้ว ฉันจะไม่เครียดไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว ถ้าต้องแลกกับการต้องตกอยู่ในความมืดแบบนี้ มันไม่มีประโยชน์เลย!! สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ทำให้ปลงได้และปล่อยวาง อะไรจะเกิดมันก็แค่นั้นแหละ สู้ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า
เคยคาดหวังไหมว่า ชีวิตนี้ต้องมาโลดแล่นในวงการบันเทิง
คุณแม่ (เรวดี เทียนประภาส) เป็นเจ้าของโรงเรียนเรวดี ในฐานะลูกสาวคนเดียว เราถูกวางตัวให้ร่ำเรียนมาทางสายการศึกษาเพื่อช่วยงานคุณแม่ โดยหลังจากเรียนจบครุศาสตร์ จุฬาฯ ก็ไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการศึกษาที่มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ สหรัฐ-อเมริกา พอจบปุ๊บ คุณแม่ก็ให้มาทำงานที่โรงเรียนทันที ส่วนพี่ชายคนกลาง (พันโทชายชาญ เทียนประภาส) ชวนคุณแม่ทำทีวี คือสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ในปี 2510 ซึ่งขณะนั้นถือเป็นทีวีสีช่องแรกของประเทศไทย ส่วนเราก็บริหารโรงเรียนเรวดี เป็นครูใหญ่อยู่นาน 10 ปี ระหว่างนั้นก็เข้าไปช่วยทำทีวีบ้าง โดยทำ รายการเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ก็แบ่งเวลาไปช่วยทำนิตยสารสตรีสารด้วย กระทั่งพี่ชายคนกลางเสียชีวิต “คุณชาติเชื้อ กรรณสูต” ซึ่งเป็นพี่ชายคนโต จึงเข้ามารับหน้าที่บริหารสถานีช่อง 7 สีแทน และได้ชักชวนให้เข้าไปช่วยงานทีวีด้วย ขณะนั้น ดิฉันอายุประมาณ 39 ปี ก็ทำมาตลอดกระทั่งถึงปัจจุบัน
ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม จากแวดวงการศึกษา ต้องมาอยู่ท่ามกลางแสงสีมายา
ทุกวันนี้ เค้าก็เรียก “ครูแดง” กันจนติดปาก (หัวเราะ) เราคงสลัดภาพความเป็นครูออกไปไม่ได้ แถมยังเป็นครูเจ้าระเบียบด้วย แม่สอนมายังไงก็เป็นอย่างนั้น คือทำอะไรต้องจริงจัง ไม่ทำเล่นๆ อย่างเรานี่ไม่ได้เก่งกล้าอะไรหรอก แต่คลุกคลีอยู่วงการนี้มานาน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความผิดพลาดมาเยอะจนแกร่ง พอจะบอกได้ว่า ละครแบบไหนทำแล้วคนชอบ เรื่องแบบนี้ทำไปก็ไม่สนุกหรอก คือมันไม่มีสูตรตายตัว แต่บอกได้ด้วยประสบการณ์ล้วนๆ
คุณแม่เป็นต้นแบบในด้านไหน
คุณแม่เป็นคนขยันมาก และเป็นต้นแบบของการไม่อยู่นิ่ง ชอบทำนู่นทำนี่ เราอยู่กับคุณแม่กลายเป็นคนขี้เกียจไปเลย ทั้งๆที่ทุกคนก็บอกว่า “คุณแดง” ทำงานเยอะมาก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือไง
ปีนี้อายุ 70 แล้ว คิดจะวางมือเมื่อไหร่
ชีวิตนี้คงไม่มีวันเกษียณ!! ตราบใดที่ยังมีกำลังก็จะทำงานต่อไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ ตื่นเช้าขึ้นมายังรู้สึกว่าอยากทำงาน สนุกที่ได้คิดโปรเจกต์ใหม่ๆ เพียงแต่ด้วยอายุของเรา มันอยากอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีเวลาเริ่มต้นนับจากศูนย์ ต้องทำในสิ่งที่เราชำนาญดีกว่า แล้วต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ ที่สำคัญทำแล้วต้องสนุกและมีความสุข นอกจากจะทำเพื่อตัวเองแล้ว เรายังสร้างงานให้คนอื่นเยอะแยะ ขณะเดียวกัน ก็ตั้งใจว่าจะต้องทำงานช่วยเหลือสังคม
ทำยังไงถึงยังฟิตทั้งกายและใจ
ออกกำลังกายและเล่นกีฬา คือเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้ ชอบเล่นกีฬากลางแจ้งทุกอย่าง เสาร์อาทิตย์ก็จะออกรอบตีกอล์ฟ และเล่นเทนนิส ช่วงนี้เริ่มมีเวลาว่างมากขึ้น ตั้งใจว่าจะกลับมาว่ายน้ำอีกครั้ง ที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของจิตใจ ถ้าคนเราทำดี คิดดี ก็จะมีความสุข หน้าตาผ่องใส ชีวิตเราจะอยู่ได้อีกกี่ปี อยากทำอะไรที่สบายใจไม่ฝืนใจตัวเอง
ในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีอะไรเซอร์ไพรส์วงการไหม?!
โอ๊ย!! มีอะไรให้ทำอีกเยอะเลย แค่จัดประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2555 ก็หัวปั่นแล้ว ต่อจากนี้ทุกอย่างจะผลิตและสร้างสรรค์ผ่านบริษัท จันทร์ 25 จำกัด เรามีโปรเจกต์ใหม่ๆเต็มไปหมด ยุคนี้ไม่ต้องพูดถึงสถานีอีกแล้ว แต่ต้องหันมาพัฒนาคุณภาพของคอนเทนต์ ต่อไปนอกจากจะเน้นการผลิตละครทีวีและภาพยนตร์แล้ว ยังจะสร้างดาราใหม่ๆให้วงการบันเทิงด้วย ขณะเดียวกัน ก็จะใช้โรงเรียนเรวดี ซึ่งปิดกิจการไปเมื่อ 2 ปีก่อน และทิ้งว่างไว้นาน เป็นศูนย์รวมของการฝึกศิลปะการแสดงทุกแขนง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ฝึกปรือฝีมือและค้นหาตัวเองให้เจอ
เวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ย้ายวิกไปอยู่ช่อง 5 จะพลิกโฉมต่างจากเดิมไหมคะ
มาตรฐานของเวทีประกวดคงไม่เปลี่ยน แต่จะยกระดับให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะได้ตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม แค่เดินเข้ามาสมัครที่โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ วันที่ 11-13 พ.ค.นี้ และร่วมเก็บตัวกับกองประกวดที่จังหวัดพิษณุโลก ก็จะได้พัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ เพราะเวทีของเราให้ทุกอย่าง มีการเชิญวิทยากรแต่ละด้านมาฝึกสอน ตั้งแต่เรื่องบุคลิกภาพ, การแต่งหน้าทำผม, การเข้าสังคม, การตอบคำถามบนเวที, ปรากฏตัวต่อสาธารณชน, การเคลื่อนไหว, การแสดง และการพรีเซนต์ตัวเอง เพื่อให้งามพร้อมทั้งหน้าตา, กิริยามารยาท และสติปัญญา ขอย้ำว่าเวทีนี้ไม่ใช่เวทีประกวดขาอ่อน ต้องสวยสง่า มีไหวพริบ และรู้จักการวางตัวในสังคม รับรองว่าแค่ได้เป็น 1 ใน 44 คน ก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองแล้ว และถึงจะไม่ได้มงกุฎก็มีอนาคตในวงการบันเทิงแน่นอน
ปีนี้พร้อมเปิดโอกาสให้กะเทยแปลงเพศเข้าประกวดหรือยัง
ก็เปิดกว้างให้ผู้หญิงทุกคน เพียงแต่ต้องดูกฎหมายไทยว่ารับรองหรือเปล่า สำหรับเวทีใหญ่มิสยูนิเวิร์สจะเริ่มปี 2013 เปิดรับสมัครผู้ที่แปลงเพศและมีบัตรประจำตัวแสดงว่าเป็นผู้หญิงเข้าประกวดอย่างเป็นทางการ
นี่คือเสี้ยวชีวิตที่ไม่มีวันเกษียณของนายหญิงวงการบันเทิง...ผู้มีแต่ “ให้” ล้านเปอร์เซ็นต์!!
...
ทีมข่าวหน้าสตรี