กรกฤช  จุฬางกูร

มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองไทยที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนาน และไม่มีวี่แววจะจบลงง่ายๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้คนนับแสนนับล้านชีวิตประสบความเดือดร้อนอย่างหนัก และต้องบ้านแตกสาแหรกขาดไร้ที่พักพิง แต่ผลพวงจากภัยพิบัติยังทำร้ายเศรษฐกิจไทยจนพังยับไม่มีชิ้นดี จากการประเมินเบาะๆมีโรงงานทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรมนับหมื่นโรงงาน ต้องเผชิญชะตากรรมแสนสาหัสจากน้ำท่วม สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 9 แสนล้านบาท ยังมีผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบกว่า 7 แสนคน โดยเฉพาะ 7 นิคมอุตสาหกรรมหลักในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ดูเหมือนจะอ่วมหนักกว่าใครเพื่อน เพราะโรงงานนับพันแห่งต้องจมอยู่ใต้บาดาล สร้างความเสียหายหลายแสนล้านบาท กว่าจะฟื้นตัวได้ก็คงเลยปีใหม่

กระนั้น ถึงแม้จะเหนื่อยหนักมึนตึ้บกับการรับมือวิกฤติน้ำท่วมต่อเนื่องเป็นเดือนๆ แต่เหล่าเถ้าแก่เจ้าของโรงงานและนักลงทุนไทย ก็ยังยิ้มสู้ไม่มีถอย พร้อมเดินหน้าฟื้นฟูธุรกิจหลังน้ำท่วมเต็มลูกสูบ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจไทย

ก็เพราะเจอวิกฤติก่อนจึงอ่วมหนักกว่าเพื่อน สำหรับนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้กลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่อันดับต้นๆของเมืองไทย กลุ่มบริษัทซัมมิท คอร์ปอเรชั่น ที่ต้องจดจำไปจนวันตาย ในฐานะผู้บริหารใหญ่รุ่นใหม่ “กร-กรกฤช จุฬางกูร” เล่าถึงฝันร้ายที่ผ่านไปหมาดๆว่า กลุ่มบริษัทของเรามีโรงงานตั้งอยู่ในนิคมโรจนะถึง 3 แห่ง ประกอบด้วยโรงงานผลิตชิ้นส่วนภายในรถยนต์, ภายนอกรถยนต์ และที่กำลังก่อสร้างเพื่อผลิตเบาะรถยนต์ เมื่อเจอกับน้ำท่วมใหญ่จึงเกิดความเสียหายมากกว่าชาวบ้าน คาดว่าน่าจะมีมูลค่านับพันล้านบาท “คุณกร” ยืนยันว่า ทางเราได้เตรียมพร้อมตั้งรับเป็นอย่างดีมาตลอด โดยลงทุนทำเขื่อนกั้นน้ำสูงกว่า 2 เมตร แต่เมื่อน้ำมาจริงๆกลับสูงถึง 5 เมตร!! ถ้ามีใครส่งสัญญาณให้รู้ความจริงว่าน้ำมันมาถึง 5 เมตร ในฐานะผู้ประกอบการก็คงต้องตัดสินใจย้ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ออกจากโรงงานแน่นอน โชคดีที่พวกเราเก็บอุปกรณ์พวกคอมพิวเตอร์และแผงวงจรไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในการควบคุมเครื่องจักรขึ้นชั้นสองของโรงงานได้ทันเวลา จึงมีเพียงตัวเครื่องจักรและแขนกลในการประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ที่จมน้ำ

...

สำหรับมาตรการฟื้นฟูธุรกิจ กลุ่มบริษัทซัมมิทได้เตรียมแผนการไว้แล้วอย่างรอบคอบ โดยประกาศชัดเจนว่า ทางเราพร้อมดูแลรับผิดชอบพนักงานที่ประสบภัยน้ำท่วมให้ก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน และได้ออกมาตรการช่วยเหลือหลายอย่าง รวมถึงการให้เงินเดือน 75% แก่พนักงานพันกว่าคน ตลอดช่วงที่บริษัทยังเปิดดำเนินการไม่ได้ ขณะเดียวกัน ก็ได้เปิดศูนย์พักพิงช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่อาคารสำนักงานของกลุ่มบริษัทซัมมิท คอร์ปอเรชั่น บนถนนบางนา-ตราด กม.11 เตรียมทุกอย่างให้พร้อมหมด ทั้งที่พัก, อาหาร และทีมแพทย์พยาบาล โดยสามารถรองรับผู้มาพักพิงได้ 700 คน กระนั้น เขาฝากบอกรัฐบาลด้วยว่า อยากให้ใช้บทเรียนจากวิกฤติน้ำท่วมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และอยากให้ออกมาตรการเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้กลับมาใช้เมืองไทยเป็นฐานการผลิตต่อไปในอนาคต

ต้านทานมวลน้ำก้อนยักษ์ไม่อยู่อีกแห่ง จนสร้างความเสียหายให้ธุรกิจหลายพันล้านบาท ก็เห็นจะเป็น โรงงานผลิตเนสกาแฟกระป๋อง ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี โดยทายาทเนสกาแฟ  “กึ้ง-เฉลิมชัย มหา-กิจศิริ” เล่าทั้งน้ำตาซึมว่า เป็นอะไรที่ไม่คาดฝันมาก่อน เพราะนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้มีจำนวนโรงงานอยู่
ไม่น้อย และมีการก่อสร้างกำแพงกั้นน้ำรอบนิคมอย่างแน่นหนา ส่วนภาย ในโรงงานของเนสกาแฟก็มีการกั้นกระสอบทรายในตัวตึก เพื่อไม่ให้ น้ำโดนเครื่อง จักร แต่แค่ชั่วอึดใจน้ำก็ถล่มนิคมนวนครสูงเกือบ 3 เมตร ตอนนั้นพวกเราได้แต่หวังว่า น้ำจะไม่เข้าโรงงาน และพยายามกั้นให้ดีที่สุด แต่พลังของธรรมชาติเกินกว่ามนุษย์จะกั้นได้จริงๆ และไม่ได้เกิดกับเราคนเดียว ในเมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว เมื่อมันเกิดก็ต้องรับสภาพ และเดินหน้าต่อไป ตอนนี้ก็ได้แต่รอน้ำลด แล้วเข้าไปดูว่าได้รับความเสียหายมากน้อยแค่ไหน วันนั้นคงเป็นวันฝันร้ายของชีวิต ระหว่างที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ก็ขอออกตระเวนช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนจากน้ำท่วมไปพลางๆก่อน เจอแบบนี้แล้วอยากให้ทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกันฟันฝ่าวิกฤติ เพื่อความอยู่รอดของคนไทยทุกคน

สำหรับผู้นำธุรกิจเครือข่ายเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของเมืองไทย “พญ.นลินี ไพบูลย์” ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ แลบบอราทอรี่ แอนด์ เฮลท์แคร์ จำกัด ค่อนข้างโชคดีที่ตื่นตัวและตั้งรับสถานการณ์มาล่วงหน้าหลายเดือน ตั้งแต่น้ำท่วมทะลักจังหวัดนครสวรรค์ และสิงห์บุรี จึงไม่ได้รับความเสียหายหนักเท่าโรงงานอื่นๆในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี ซึ่งโรงงานกว่า 200 แห่งต้องจมอยู่ใต้บาดาลทันทีเมื่อน้ำไหลทะลักเข้ามายังปทุมธานี ช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยคุณหมอคนสวยเล่าว่า คนอื่นอาจจะมองว่าพวกเราเป็นกระต่ายตื่นตูม แต่หมอเชื่อว่า การที่เราเตรียมพร้อมเนิ่นๆ ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยกว่าชาวบ้านเยอะ ตั้งแต่เห็นน้ำท่วมนครสวรรค์ และสิงห์บุรี หมอก็เร่งสั่งผลิตสินค้าล่วงหน้าทั้งวันทั้งคืน เพื่อให้มีสต็อกไว้จำหน่ายอย่างน้อย 2-3 เดือน จากนั้นก็ขนสินค้าทั้งหมดและแพ็กเกจจิ้งไปเก็บในคลังสินค้าที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี เมื่อจัดการเตรียมสินค้าล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว จึงระดมพลมาขนเครื่องจักรในโรงงานประมาณ 95% ย้ายขึ้นชั้นสอง พอน้ำท่วมมาถึงปทุมธานี หมอก็ระดมพลก่ออิฐฉาบปูน และก่อกระสอบทรายรอบโรงงาน ความสูงประมาณ 2 เมตรเศษ แล้วจึงอุดท่อ และเตรียมเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่มาระดมสูบน้ำออก เราเป็นโรงงานสุดท้ายในนิคมนวนครที่อยู่สู้กับน้ำจนวินาทีสุดท้าย ระดมกระสอบทรายสู้กันเป็นอาทิตย์ จนน้ำบนถนนท่วมสูง 2 เมตรครึ่ง จึงทะลักเข้าโรงงานกว่า 1 เมตร ก็ต้องตั้งเวรยามสูบน้ำออกตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าประเมินความเสียหายคงอยู่ราว 20-30 ล้านบาท กระนั้น กิฟฟารีนยังคงจ่ายเงินเดือนให้พนักงานทั้ง 800 คน จนกว่าจะพ้นวิกฤติ พวกเราคาดหวังว่า จะกลับมาเดินเครื่องการผลิตได้อีกครั้งก่อนปีใหม่ ตอนนี้น้ำก็เริ่มลดวันละนิดวันละหน่อย เหลือประมาณ 1 เมตร 80 ซม. วิกฤติที่เกิดขึ้นทำให้ได้บทเรียนสำคัญว่า ในอนาคตรัฐบาลจะต้องบริหารจัดการน้ำอย่างทันท่วงที ครั้งนี้ถือว่าตั้งหลักช้าเกินไป!! ถ้าเกิดน้ำท่วมอีกครั้งล่ะก็ นักลงทุนต่างชาติคงหนีไปหมด จะไม่เหลือโอกาสทางธุรกิจสำหรับเมืองไทยอีกแล้ว

...

ด้าน “พลอย-พิมพ์ผกา หวั่งหลี” ผู้บริหารหญิงเก่งแห่ง ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ลงทุนพับแขนเสื้อออกลุยเอง เพื่อปกป้องศูนย์การค้าจากพิบัติภัยครั้งใหญ่ และผลจากความพยายามมุ่งมั่นเต็มร้อยนี่เอง ทำให้ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต กลายเป็นพื้นที่แห้งที่เหลืออยู่เพียงหย่อมเดียวของจังหวัดปทุมธานี โดย “คุณพลอย” เล่าว่า พวกเราตัดสินใจปิดศูนย์การค้าตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่น้ำจะท่วมทะลักเข้ามาถึงย่านรังสิต ต้องสูญเสียรายได้จากยอดขายวันละ 300 ล้านบาท มาถึงตอนนี้ก็หลายพันล้าน!! ตอนนั้นเริ่มเห็นสัญญาณไม่ดีแล้ว เพราะอยุธยาจมบาดาลแล้ว ส่วนปทุมธานีก็ท่วมขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งน้ำท่วมขังตรงรังสิต เส้นนครนายก จนเหลือถนนให้รถวิ่งได้เลนเดียว รถเริ่มวิ่งเข้าศูนย์การค้าลำบาก เลยตัดสินใจประกาศปิดศูนย์การค้า และเริ่มสร้างคันดินสูงเมตรห้าสิบ รอบศูนย์การค้าชั้นนอก ส่วนรอบศูนย์การค้าชั้นใน ก็ก่อกำแพงปูนหนุนด้วยอิฐบล็อก และก่อกระสอบทรายสูงถึง 2 เมตร พวกเรากรอกทรายกันเองร่วม 5 หมื่นกระสอบ ก็เอามาใช้จนหมด คือ เตรียมการไว้แข็งแรงมาก แรกๆตั้งรับอยู่ แต่พอน้ำบนถนนสูงขึ้นถึงเมตรห้าสิบ คันดินรอบนอกก็พังทลาย คราวนี้ต้องเร่งระดมเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่หลายสิบตัววางรอบศูนย์การค้า เพื่อสูบน้ำออกอย่างต่อเนื่อง เท่านี้ไม่พอนะคะ พวกเรายังต้องไล่แก้น้ำผุดจากใต้ดิน อุดตรงนี้รั่วตรงโน้น ต้องไล่แก้ปัญหาตลอด 24 ชั่วโมงจนถึงทุกวันนี้ ก็ดีใจที่รักษาศูนย์การค้าไว้ได้กว่า 90% มีเฉพาะชั้นใต้ดินที่น้ำซึมเข้าไปได้ 30 ซม. ต้องสูบน้ำออกตลอด จนตอนนี้เหลือแค่ 2 ซม. ตั้งแต่เกิดวิกฤติจนถึงวันนี้ ห้างฯบิ๊กซี ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ไม่เคยปิดให้บริการแม้แต่วันเดียว เพราะถือเป็นแหล่งเดียวที่คนย่านนี้จะซื้อหาจับจ่ายอาหารได้ ก็ยังต้องให้บริการเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านต่อไป

...

นอกจากการกำกับดูแลมาตรการป้องกันน้ำท่วมทะลักเข้าศูนย์การค้าอย่างใกล้ชิด โดยผ่านกองอำนวยการเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาน้ำท่วม บอสหญิงแห่งฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ยังคอยดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงานทุกคนที่ประสบอุทกภัย ซึ่ง “คุณพลอย” เล่าว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา พนักงานฝ่ายโอเปอเรชั่นร่วม 200 คน ได้กลับมาทำงานตามปกติแล้ว โดยฟิวเจอร์พาร์คเปิดห้องประชุมใหญ่ให้พนักงานและครอบครัวที่ประสบภัยอพยพมาพักพิงได้จนกว่าน้ำจะลด และได้ตระเตรียมฟูกหมอนที่นอน ตลอดจนเลี้ยงอาหารทั้งสามมื้อ ทางเรายังรับปากว่าจะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานทุกคน และไม่มีนโยบายเลย์ออฟ ซึ่งหากน้ำลดลงประมาณ 50 ซม. ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิตก็จะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นช่วงกลางเดือนนี้ อยากเร่งเปิดศูนย์การค้าให้เร็วที่สุด เพราะเป็นห่วงร้านค้านับพันร้านในศูนย์และพนักงานอีกเป็นหมื่นคน ซึ่งยังต้องหาเลี้ยงปากท้อง เมื่อถึงเวลานั้นทางฟิวเจอร์พาร์ค รังสิตจะจัดเตรียมเรือไปรอรับลูกค้าถึงทางลงดอนเมืองโทลล์เวย์ ถนนรังสิต-นครนายก รับรองว่าช็อปปิ้งได้สบาย ไม่เปียกแน่นอน.

ทีมข่าวหน้าสตรี