“มร.ฟิลิปป์ ดอร์นาโน”

แม้แบรนด์เครื่องสำอางซิสเล่ย์ จะครองตลาดไฮเอนด์เป็นอันดับหนึ่งของโลก และเป็นสกินแคร์ยี่ห้อโปรดของเศรษฐีไฮโซเมืองไทยจำนวนมาก แต่มีน้อยคนนักที่จะทราบว่า จนถึงขณะนี้ “ซิสเล่ย์” ยังคงเป็นธุรกิจเครื่องสำอางระดับโลกเพียงหนึ่งเดียว ที่รักษาความเป็นธุรกิจครอบครัวไว้ได้อย่างเข้มข้น ภายใต้การกุมบังเหียนของตระกูลดอร์นาโน โดยไม่ถูกครอบงำจากกลุ่มธุรกิจข้ามชาติ ที่ไล่ซื้อกิจการเก่าแก่เข้าสังกัดเป็นว่าเล่น

ในโอกาสที่ “มร.ฟิลิปป์ ดอร์นาโน” ประธานบริษัทเครื่องสำอางซิสเล่ย์ ปารีส วัย 46 ปี เดินทางมาเมืองไทย เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 10 ปี ซิสเล่ย์ ประเทศไทย ตามคำเชิญของ “รุจิตร  สุธนะเสรีพร”  ผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงของค่ายซิสเล่ย์ ได้เปิดไฟเขียวให้ทีมข่าวสตรีไทยรัฐ สัมภาษณ์แบบเจาะลึกเป็นครั้งแรก เพื่อล้วงลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจครอบครัวหนึ่งเดียวในวงการ เครื่องสำอางโลก ที่ยืนหยัดท้าคลื่นลมมาได้ถึง 35 ปี


“ตระกูลดอร์นาโน” มีพื้นฐานด้านธุรกิจเครื่องสำอางมาก่อนไหมคะ

ตระกูลเราเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ของฝรั่งเศส มีต้นตระกูลเป็นขุนพลกองทัพฝรั่งเศสถึง 3 คน และได้รับการเชิดชูเกียรติให้ปรากฏชื่ออยู่ในพิพิธภัณฑ์ทหาร กรุงปารีส อย่างไรก็ดี คุณปู่ของผมได้ก่อตั้งธุรกิจเครื่องสำอางชั้นสูงหลายยี่ห้อมาตั้งแต่ปี 1935 ซึ่งยังคงเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่มีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบัน สำหรับคุณพ่อของผม คือ “เคาต์อูแบร์ ดอร์นาโน” ได้แยกตัวจากธุรกิจครอบครัว ออกมาก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอางของตนเอง เมื่อปี 1976 ตั้งชื่อว่า “ซิสเล่ย์” เพื่อทำตามความฝันที่อยากสร้างสรรค์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากพืชพรรณ ธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นแนวคิดใหม่  ฉีกแนวจากผู้คนในยุคนั้น ที่ยังนิยมใช้สารเคมีผลิตเครื่องสำอาง

...


เรียกได้ว่า “ซิสเล่ย์” เป็นแบรนด์แรกๆของโลกที่ใช้พืชพรรณธรรมชาติเป็นส่วนผสมหลัก

(พยักหน้า) ตอนนั้นใครๆก็ทัดทานคุณพ่อว่าคงไม่มีทางทำสำเร็จ นั่นเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก แต่ท่านรู้ว่ากำลังจะทำอะไร และมีแผนชัดเจนมาก คุณพ่อเล่าว่า สมัยนั้น การใช้ส่วนผสมจากพืชพรรณธรรมชาติถือเป็นนวัตกรรมใหม่มาก ที่เพิ่งค้นพบและยังไม่เป็นที่นิยมมากนักในยุโรป แต่ท่านก็ทุ่มเทคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์จนสำเร็จ


แล้วคุณแม่ล่ะคะ เข้ามามีบทบาทด้านใดบ้าง

คุณแม่ของผมคือ “เคาต์เตส อิซาเบลล์ ดอร์นาโน” เป็นธิดาของเจ้าหญิงเรดซิวิลล์ ซึ่งให้กำเนิดกษัตริย์โปแลนด์ถึง 3 พระองค์ ท่านเป็นสุภาพสตรีที่สวยสง่าและมีรสนิยมดีมาก เคยได้รับการยกย่องจากสื่ออเมริกันให้เป็นหนึ่งในสุภาพสตรีที่งามสง่าที่สุด ของโลก ถึงแม้คุณแม่จะไม่มีพื้นฐานด้านธุรกิจเครื่องสำอางมาก่อน แต่ท่านก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องการสร้างสรรค์แบรนด์ และโฆษณาประชาสัมพันธ์ ท่านทราบดีว่า ผู้หญิงต้องการอะไร!!


ในยุคที่ธุรกิจข้ามชาติรุกคืบหนัก อะไรทำให้ “ซิสเล่ย์” ยืนหยัดอยู่ได้ ทั้งๆที่เป็นธุรกิจครอบครัวเต็มตัว

ในฐานะเจ้าของธุรกิจ ครอบครัวของเราเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดจริงๆกับทุกขั้นตอนการผลิต และคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ พวกเรา ซึ่งหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ ผมและน้องสาวอีกคน คือ คริสติน จะเข้าประชุมกับทีมวิจัยพัฒนาโปรดักต์ และทีมการตลาด ทุกเช้าวันพุธ เราเป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องสำอางเพียงเจ้าเดียวของโลก ที่ยังคงนั่งประชุมอย่างใกล้ชิดกับทีมงาน และตัดสินใจด้วยตนเองว่า เราต้องการหรือไม่ต้องการอะไร ถ้าพวกคุณแวะไปที่ออฟฟิศใหญ่ของซิสเล่ย์ตอนเช้าวันพุธ แล้วจะตกใจ เพราะในห้องประชุมใหญ่ คุณจะได้เห็นพ่อของผมนั่งอยู่หัวโต๊ะประชุม คุณแม่นั่งประจันหน้า มีผมกับน้องสาวนั่งอยู่คนละข้าง ห้อมล้อมด้วยทีมวิจัยพัฒนาและทีมการตลาด แล้วพวกเราก็จะเริ่มถกเถียงกันอย่างหน้าดำหน้าแดง ทุกคนมีส่วนในการแสดงความคิดเห็นได้เสรี เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุด และมีคุณภาพที่สุด หลายครั้งต้องถกเถียงกันเป็นปีๆกว่าจะออกโปรดักต์ได้แต่ละตัว หลังจากทำวิจัยพัฒนามาแล้วหลายปี บ่อยครั้งพวกเราถกเถียงกันเสียงดัง จนคุณพ่อต้องตะโกนให้เบาเสียงลง เพราะฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ)

...

ครอบครัวของเราใส่จิตวิญญาณเข้าไปในโปรดักต์ซิสเล่ย์ทุกตัว  และเอาจริงเอาจังมากกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เราไม่แคร์ว่าจะต้องเร่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆทุกปี เพื่อสร้างยอดขาย ถ้าไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดจริงๆ ถึงจะต้องรอนานแค่ไหน เราก็ไม่สน เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา หรือเงินทุน สินค้าทุกชิ้นต้องผ่านการทดสอบในห้องแล็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแน่ใจ ผลิตภัณฑ์บางตัวใช้เวลาถึง 5-10 ปี กว่าจะได้ผลลัพธ์ที่พวกเราพึงพอใจ พวกเราก็อยากคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาวางขายเร็วๆ แต่สกินแคร์เป็นเรื่องของการคิดค้นสูตรและส่วนผสมที่ดีที่สุด จึงต้องใช้เวลาทุ่มเทจริงจัง เมื่อได้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกใจแล้ว พวกเราทุกคนในครอบครัวยังต้องทดลองใช้ด้วยตนเองจนแน่ใจว่าแจ๋วจริง ถึงจะกล้านำออกวางขายในตลาด เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มั่นใจว่าจะทำให้ผู้หญิงทุกคนยิ้ม!!  เรายึดถือปรัชญาสำคัญ 3 ประการคือ การใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยจิตวิญญาณการดำเนินงานที่ดีที่สุด และนอกจากเราจะเป็นธุรกิจครอบครัวที่แข็งแกร่งแล้ว  เรายังถือว่าพนักงานทุกคนของซิสเล่ย์เปรียบเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน

...


ในฐานะลูกชายคนโต ถูกวางตัวให้สืบทอดธุรกิจซิสเล่ย์ตั้งแต่เล็กๆไหมคะ

ตอนก่อตั้งธุรกิจ พ่อผมไม่เคยคิดฝันว่าธุรกิจจะใหญ่โตขนาดนี้ และไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องดึงลูกๆเข้ามาสืบทอดกิจการ ที่จริงผมยังมีน้องชายคนหนึ่ง อายุอ่อนกว่าผมปีหนึ่ง เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ชอบทำงาน จึงขอคุณพ่อเข้ามาทำงานซิสเล่ย์ก่อนผมซะอีก แต่เขาประสบอุบัติเหตุรถยนต์เสียชีวิต!! ตรงนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตผม ทำให้ผมต้องเบนเข็มจากที่ฝันไว้ว่าอยากเป็นนักเขียน และตัดสินใจเข้ามาช่วยงานที่บ้านแทน โดยหลังจากเรียนจบด้านกฎหมาย รัฐศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ผมก็เดินเข้าไปถามพ่อว่า อยากให้ผมทำงานด้วยไหม ท่านดีใจมาก เพราะขณะนั้นเป็นช่วงที่ซิสเล่ย์กำลังขยายงานไปต่างประเทศ ผมเริ่มงานกับซิสเล่ย์ตั้งแต่อายุ 26 ปี เริ่มจากตำแหน่งพนักงานขาย และค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาเป็นจีเอ็ม ดูแลด้านการพัฒนาธุรกิจในตลาดนานาชาติ สารภาพตรงๆว่า ตอนแรกผมตั้งใจจะช่วยงานคุณพ่อแป๊บเดียว แต่พอได้เข้ามาสัมผัสจริงๆ ก็ค้นพบว่าธุรกิจเครื่องสำอางน่าสนใจมาก

...


ทำงานใกล้ชิดกับคุณพ่อขนาดนี้ ได้เรียนรู้อะไรจากท่านบ้าง

เยอะมาก!! โดยเฉพาะเรื่องแพสชั่นที่มีต่อธุรกิจเครื่องสำอาง พ่อผมเป็นคนจีเนียสมาก ท่านเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูง มีจินตนาการ และมีวิชั่นที่ชัดเจนมาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจ ต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยมือตัวเอง เมื่อได้ทำงานร่วมกับพ่อ ทำให้ผมค้นพบแรงบันดาลใจมากมาย รวมถึงเรื่องการทุ่มเททำงานหนัก ขณะเดียวกัน ท่านก็เปิดโอกาสให้ผมได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี บางครั้งเราอาจไม่เห็นพ้องกันในเรื่องงาน แต่ยังไงซะเราก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน และมีแพสชั่นในเรื่องเดียวกัน ครอบครัวเราจะคุยเรื่องงานกันทุกที่ทุกเวลา แม้แต่ตอนทานอาหาร โดยไม่รู้สึกว่าเครียดหรือกดดันอะไร


คุณพ่อวางแผนไว้ไหมคะว่าจะวางมือทางธุรกิจเมื่อไหร่

(หัวเราะ) ไม่มีวันที่คุณพ่อจะรีไทร์เด็ดขาด!! ท่านยังมีไฟอยู่ คุณพ่อกับคุณแม่เข้าบริษัททุกวันไม่เคยขาด และพวกท่านก็ยังรักการทำงานมากถึงมากที่สุดปีๆหนึ่งเดินทางบ่อยไหมคะ และประทับใจที่ไหนมากที่สุด

ผมเดินทางปีละประมาณ 90 วัน ขึ้นอยู่กับความจำเป็นด้านธุรกิจ ส่วนใหญ่จะบินไปดูแลตลาดใหม่ๆ และพบปะกับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ รวมถึงคุยกับทีมงานและพนักงานของซิสเล่ย์ในประเทศต่างๆ จนถึงทุกวันนี้ เรามีบริษัทในเครืออยู่ถึง 29 แห่ง ใน 90 กว่าประเทศ ผมเดินทางมาแล้วทั่วโลก แต่ละแห่งก็มีความน่าประทับใจแตกต่างกันไป สำหรับเมืองไทย ผมเคยมาเยือนครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน รู้สึกประทับใจในความอบอุ่นและโอบอ้อมอารีของคนไทยมาก


ตลาดเมืองไทยมีศักยภาพจะเติบโตมากแค่ไหน

เมืองไทยอาจไม่ใช่ตลาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย เช่น เกาหลี, ไต้หวัน และจีน แต่ซิสเล่ย์ให้ความสำคัญกับตลาดเมืองไทยมาก เพราะเชื่อว่าคนไทยยังมีกำลังซื้ออีกเยอะ  และต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพจริงๆ ผมเคยสำรวจผู้หญิงในเกาหลีว่า  ถ้าไม่ติดเรื่องราคา  สกินแคร์ ยี่ห้อไหนเป็นที่ใฝ่ฝันมากที่สุด  คำตอบก็คือซิสเล่ย์ ทุกคนมักจะพูดว่าสินค้าของซิสเล่ย์ดีมาก แต่ราคาแพง ซึ่งผมก็ชอบโพซิชั่นของตัวเองนะ และไม่คิดจะทำราคาให้ถูกลง เพราะสินค้าของเรามีคุณภาพสูงจริงๆ แต่กลยุทธ์ที่เราใช้คือ การแจกสินค้าให้ลูกค้าได้ทดลอง เพื่อให้ได้สัมผัสถึงความเจ๋งของซิสเล่ย์ด้วยตนเอง เราไม่จำเป็นต้องใช้พรีเซ็นเตอร์ดังๆ หรือเซเลบริตี้ดารานักร้อง ไม่จำเป็นต้องทำแพ็กเกจจิ้งให้หรูหราไฮโซ ไม่จำเป็นต้องลงโฆษณาเยอะๆ เพราะโปรดักต์ของซิสเล่ย์ เป็นซุปเปอร์สตาร์ในตัวเองอยู่แล้ว


ลองจินตนาการสิคะว่า อีก 20 ปีข้างหน้า “ซิสเล่ย์” จะเติบโตงดงามขนาดไหน

อีก 20 ปีข้างหน้า ผมก็อายุ 66 ปี ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก เช่นเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ (หัวเราะ) ถึงตอนนั้น ซิสเล่ย์คงมีสินค้าใหม่ๆออกมาอีกหลายตัว สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆให้ได้ฮือฮาอีกมาก นอกจากในกลุ่มสกินแคร์ ซึ่งเราเข้มแข็งอยู่แล้ว ผมยังมองเห็นโอกาสทางการตลาดที่จะพัฒนาสกินแคร์เมคอัพไลน์ อย่างจริงจัง ถือเป็นเทรนด์อนาคตที่น่าจะมาแรงแน่นอน เพราะผู้หญิงยุคใหม่คำนึงถึงเรื่องการดูแลผิวพรรณ และต้องการให้เครื่องสำอางมีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอยู่ด้วย ในส่วนของน้ำหอม ผมก็มองเห็นอนาคตที่เราจะพัฒนาคิดค้นน้ำหอมกลิ่นใหม่ๆที่ไฮเอนด์ยิ่งขึ้น หรูหราไฮโซยิ่งขึ้น และผมยังมองเห็นโอกาสในการคิดค้นพัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆที่พรีเมียมสุดๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของสุภาพสตรีเฉพาะกลุ่ม ในอีก 20 ปีข้างหน้า ผมก็หวังว่า ลูกค้าของซิสเล่ย์ในวันนี้จะยังสวยดูดีและอ่อนเยาว์ แม้เวลาจะผ่านไปถึง 2 ทศวรรษก็ตาม.

ทีมข่าวหน้าสตรี