เจอดราม่าสกัดดาวรุ่ง ถูกรุมยี้ว่าพูดไม่รู้เรื่อง ไร้คุณสมบัติคุมทีมเศรษฐกิจวัดรอย “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” แต่เอาซี้ “ด็อกเตอร์แหม่ม-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” โฆษกรัฐบาลหญิงแกร่งแห่งพรรคพลังประชารัฐกลับไม่สะทกสะท้าน แถมประกาศชัดว่าขออยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เคยยึดติดกับตำแหน่งใดๆ เพราะเป้าหมายชีวิตมีอย่างเดียวคือ ทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณของประชาชน

“แหม่มคิดเสมอว่าเราใช้ภาษีของประชาชนไปเรียนต่อต่างประเทศจนได้เป็นด็อกเตอร์ เมื่อกลับมาแล้วต้องตอบแทนคืนประชาชน ที่ผ่านมาชดใช้ด้วยการสอนหนังสือที่นิด้า 23 ปี ชดใช้ด้วยการช่วยงานองค์กรทั้งหลาย ชดใช้ด้วยการทำงานวิชาการให้ดีที่สุด แต่หลังได้ศาสตราจารย์ตอนอายุ 39 แหม่มถามตัวเองว่า เราจะทำอะไรต่อเพื่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมและประชาชนจริงๆ เพื่อตอบแทนหนี้ของคนที่ส่งเราไปเรียนด็อกเตอร์ แหม่มไม่ได้พูดแบบนางเอกนะคะ ถ้าจะสอนหนังสือไปเรื่อยๆชีวิตก็สบายดี แต่มันไม่ตอบโจทย์เรา แหม่มเคยยากจนมาก่อน แต่เราพ้นจากความลำบากมาได้เพราะการศึกษา เราได้โอกาสจากรัฐบาลและเงินภาษีของประชาชน ก็อยากให้คนอื่นได้โอกาสแบบนี้บ้าง แหม่มจึงไม่ลังเลใจที่จะมาทำงานการเมือง”...ด็อกเตอร์แหม่มเคลียร์ใจกับ นสพ.ไทยรัฐ

...

โดนสบประมาทว่าใส่บิ๊กอายจะคุมทีมเศรษฐกิจได้เหรอ ตอบโต้อย่างไรดี

แหม่มไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าเราไม่ได้ทำความเสียหายให้ใคร ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติหมด มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ไม่ว่าจะตำแหน่งศาสตราจารย์ หรือตำแหน่งโฆษกรัฐบาล จำเป็นต้องมีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเราที่จะช่วยประชาชน ถ้าเราไปต่อต้านคำที่เขาพูด แสดงว่าเรายอมรับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของเรา แหม่มไม่เคยให้ร้ายใครทั้งต่อหน้าและลับหลัง เรามาอยู่ในที่สาธารณะโดนวิจารณ์เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าวิจารณ์ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลย ก็เป็นสิทธิของเราที่จะปกป้องตัวเอง เช่น วิจารณ์ว่าไม่มีความสามารถด้านการเงินการคลัง อันนี้ไม่จริง!! เพราะเราทำงานมาจริง และมีประสบการณ์ยืนยันได้ เพียงแต่พอดีมีการเปลี่ยนแปลงในพรรค ทำให้เกิดความรู้สึกตึงนิดหนึ่ง ช่วงเปลี่ยนผ่านต้องเกิดแรงปะทะเป็นปกติ

ทำไมเส้นใหญ่จัง “ด็อกเตอร์นฤมล” เป็นใครมาจากไหน

ก็เป็นคนไทยธรรมดาคนหนึ่งที่ชีวิตมาจากครอบครัวยากจน และมาตามทางปกติ ไม่ได้มีสิทธิพิเศษ ไม่ได้มีชาติตระกูลใดๆที่บ้านเป็นครอบครัวคนจีน อยู่บ้านตึกแถว 2 ชั้น แถววัดไผ่เงิน ย่านตรอกจันทร์ คุณพ่อเป็นหลงจู๊โรงงานซีอิ๊วหยั่นหว่อหยุ่น ท่านจะขี่มอเตอร์ไซค์ขายซีอิ๊วตามร้านโชห่วย ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้าน พอมีลูก 6 คน ท่านต้องขายกับข้าวหน้าปากซอยบ้าน เพื่อช่วยหาเลี้ยงครอบครัว จำได้ว่าตีสี่แม่จะตื่นไปตลาดเตรียมของทั้งวันทำทั้งวัน ถ้าเป็นวันหยุดพวกเราต้องช่วยแม่ทำกับข้าว แหม่มเรียนโรงเรียนรัฐบาลตลอด จบมัธยมที่สตรีศรีสุริโยทัย ไม่เคยคิดว่าเราจน กระทั่งเอ็นท์ติดบัญชี จุฬาฯ สาขาวิชาสถิติ ถึงได้รู้ว่าเราแตกต่างจากคนอื่นมาก ยิ่งมารู้สึกตอนเพื่อนๆเรียนพิเศษเตรียมตัวไปต่อต่างประเทศ เราก็ขอป๊าไปเรียนพิเศษด้วย ทั้งๆที่รู้ตัวว่าคงไม่มีโอกาส จนป๊าถามว่าแหม่มอยากเรียนต่อปริญญาโทเหรอ เรียนในประเทศได้ไหม ป๊าคงส่งได้แค่ในประเทศ แหม่มเลยบอกท่านว่าถ้าจะเรียนต่อปริญญาโทถึงเป็นในประเทศแหม่มจะไม่เอาตังค์ป๊าแล้ว ตอนเรียนจุฬาฯจะสอนพิเศษตลอด หาเงินได้เท่าไหร่ให้พ่อแม่หมด

หนีความจนอย่างไร จึงไขว่คว้าปริญญาเอกมาจนได้

ก็ต้องสอบชิงทุนให้ได้ แหม่มสมัครสอบทุน ก.พ.ตามความต้องการของนิด้า ในสาขาบัญชี สถิติประกันภัย นั่งรถเมล์ไปสอบไกลมาก จนได้ทุนเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ถือเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตอีกครั้ง แหม่มเรียนได้ที่หนึ่งของรุ่นได้โปรเฟสเซอร์ที่เมตตามาก คงเห็นว่าไอ้นี่ขยัน ตอนจะต่อปริญญาเอกแหม่มเลือกมหาวิทยาลัยอันดับรองๆ จนโปรเฟสเซอร์ขู่ว่าถ้าสมัครมหาวิทยาลัยพวกนี้ให้กลับเมืองไทยเลย แหม่มเกรดดีขนาดนี้ต้องเลือกมหาวิทยาลัยท็อปเทนสิ ท่านสอนให้เรามั่นใจในตัวเอง ปรากฏว่าก็สอบได้ที่วิทยาลัยวอร์ตัน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งด้านไฟแนนซ์ของโลก แหม่มเลือกสาขาไฟแนนซ์ บริหารความเสี่ยง ตอนนั้นได้ทุนการศึกษาจากวอร์ตันด้วย และทำงานพิเศษกับอาจารย์ เป็นผู้ช่วยทำงานวิจัย และสอนหนังสือ พอเรียนจบกลับมาใช้ทุนเป็นอาจารย์ที่นิด้า ได้เงินเดือน 10,600 บาท มีผู้ใหญ่แบงก์กรุงเทพติดต่อมา เพราะทราบจากเพื่อนว่าเราจบปริญญาเอกด้านไฟแนนซ์จากวอร์ตัน ก็ไปพบคุณชาติศิริ โสภณพนิช ชวนไปทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ แหม่มปฏิเสธข้อเสนอ เพราะอยากมีอิสระทำงานวิชาการ คุณโทนี่จึงให้เป็นที่ปรึกษา เข้าแบงก์กรุงเทพสัปดาห์ละวัน จากนั้นก็มีผู้ใหญ่ตลาดหลักทรัพย์ติดต่อมาให้ทำเรื่องโมเดลบริหารความเสี่ยงทางการเงิน และเป็นที่ปรึกษาต่อเนื่องกระทั่งทำงานการเมือง แหม่มยังเป็นที่ปรึกษาหลายสถาบันการเงิน รวมถึงธนาคาร อาคารสงเคราะห์ และเข้าไปวางแผนบริหารความเสี่ยงองค์กรหลายแห่ง ทุกคนจะคิดว่ามีคนฝาก จริงๆแล้วไม่มีเส้นสายเลย แต่คนมักเห็นความตั้งใจความขยัน เลยเมตตาและไว้เนื้อเชื่อใจเรา

...

ใครชักนำ “อาจารย์แหม่ม” เข้ามาทำงานการเมือง ร่ำลือว่าเป็น “ดร.สมคิด”

แหม่มเข้ามาช่วยรัฐบาล คสช.ครั้งแรก ตามคำชวนของ “พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล” สมัยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน เมื่อปี 2558 ท่านทราบว่าทำวิจัยตอนจบปริญญาเอกเรื่องการปฏิรูปประกันสังคม เลยชวนเป็นที่ปรึกษาจัดทำยุทธศาสตร์ของกระทรวงแรงงาน และปฏิรูปกองทุนประกันสังคมให้มีประสิทธิภาพ จากนั้น “อาจารย์สมคิด” ก็ชวนมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีคลังยุค “ท่านอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” ทำให้ต้องลาออกจากราชการที่นิด้า แหม่มสอนหนังสืออยู่นิด้าเกือบ 23 ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือศาสตราจารย์ ครอบครัวและการงานลงตัวดี แต่แหม่มคิดเสมอว่าเรารับภาษีของประชาชนไปเรียน เราต้องคืนให้ประชาชน จึงตัดสินใจทำงานการเมือง

...

พอเข้าไปคลุกคลีการเมือง ชีวิตจริงสวยหรูอย่างที่คิดไหม

พอขยับมากระทรวงการคลัง ยิ่งเห็นว่านโยบายดีๆสามารถช่วยกลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้จริง แหม่มลงพื้นที่กับข้าราชการทุกเดือน เห็นว่าชาวบ้านได้รับประโยชน์จริง พยายามหาทางว่าจะทำยังไงให้พวกเขาหลุดพ้นจากความยากจนอย่างยั่งยืน การลงพื้นที่ทำให้ได้รับฟังชาวบ้านว่าพวกเขาต้องการอะไรจริงๆ หนึ่งในปัญหาใหญ่คือหนี้นอกระบบ ต้องลงไปช่วยโดยให้ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปจัดการกับการทวงหนี้นอกระบบอย่างไม่เป็นธรรม เรายังดึงแบงก์รัฐไปให้สินเชื่อฉุกเฉินที่ไม่ต้องมีหลักประกัน ครั้งหนึ่งแหม่มไปลงพื้นที่จังหวัดชัยนาท เจอชาวบ้านเข้ามากอดและร้องไห้ เพราะรู้ว่าเรามาจากกระทรวงการคลัง บอกว่าชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะได้โฉนดคืน คิดว่าเสียที่ดินพ่อแม่ไปแล้ว เจอแบบนี้หัวใจเราก็พองโต มันตอกย้ำว่านโยบายดีๆของภาครัฐช่วยประชาชนได้จริง และมีประโยชน์กับประชาชน แหม่มอยากจะขยายตรงนี้ทำให้มันมากขึ้น เลยนำมาสู่การดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ เอาพวกเขาขึ้นทะเบียนให้หมด ปล่อยสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยไม่เกินกฎหมายกำหนด ต่อมาเมื่อพลังประชารัฐจะจัดตั้งพรรคการเมือง แหม่มถูกดึงเข้ามาอยู่ในทีมร่างนโยบายหาเสียงของพรรค กระทั่งเดินกันมาเรื่อยๆจนเลือกตั้งเสร็จ ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ แล้วจึงลาออกมาเป็นโฆษกรัฐบาล

...

ครอบครัวสนับสนุนให้ทำงานการเมืองไหม

แหม่มแต่งงานมา 10 ปี มีลูกสองคน สามีเป็นผู้พิพากษา สนับสนุนให้ทำงานการเมืองค่ะ เราคุยกันตลอดว่าอยากทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับประชาชน เงินภาษีของประชาชนทำให้เรามีวันนี้ ต้นทุนชีวิตแหม่มมันน้อยมาก เรามาถึงวันนี้ได้ถือว่ากำไรหมดแล้ว อยากจะคืนกลับไปให้ประชาชน

จากนักวิชาการบนหอคอยมาเป็นนักการเมือง ต้องปรับตัวเยอะไหม

แหม่มปรับตัวตามธรรมชาติ ตัวตนจริงๆมาจากครอบครัวยากจน เวลาไปต่างจังหวัดจึงกินอยู่ได้หมดไม่มีปัญหา เวลาได้อยู่กับชาวบ้านแหม่มมีความสุขมันทำให้เรามีพลัง ไม่เหมือนนั่งประชุมในบอร์ดบริษัท แหม่มรู้สึกว่าชาวบ้านฝากความหวังไว้ที่เรา นโยบายทุกอย่างจึงออกมาจากการลงพื้นที่จริงทั้งหมด

ทำไมตกเป็นเป้าโจมตีหนักมาก และถูกจับเทียบชั้นกับ “ดร.สมคิด”

ไม่เคยคิดว่าสถานการณ์จะเดินมาถึงจุดนี้ สำหรับ “อาจารย์สมคิด” ก็ทักทายกันปกติ แหม่มยังให้ความเคารพท่านเสมอและเคารพทุกคนในพรรค แต่การเปลี่ยนแปลงในพรรคมันมีหลายปัจจัย เป็นธรรมชาติของการเมือง ซึ่งแหม่มเป็นแค่ส่วนเล็กๆ

ความเป็นผู้หญิงเป็นอุปสรรคต่อการทำงานการเมืองมากไหม

หลายครั้งแหม่มกลายเป็นผู้หญิงคนเดียวในห้อง แต่นักการเมืองทุกคนที่แหม่มสัมผัสทั้งในพรรคและนอกพรรค ทุกคนให้เกียรติผู้หญิงดีมาก ไม่เคยดูถูกเหยียดหยามให้รู้สึกว่าทำไมเธอไม่ไปเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ทุกคนให้เกียรติและให้โอกาสผู้หญิงเป็นอย่างดี โดยเฉพาะท่านนายกฯเป็นคนรับฟังข้อมูลรอบด้าน ท่านเป็นผู้นำที่ครบเครื่องทั้งในแง่ความเด็ดขาดและประนีประนอม

อะไรคือคาถาอยู่รอดปลอดภัยเข้าได้ทุกฝ่าย

อยู่กับปัจจุบัน และทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เคยยึดติดกับตำแหน่งใดๆ

พร้อมไหมคะ ถ้าท่านนายกฯมอบหมายให้ดูแลทีมเศรษฐกิจของประเทศ

ยังไม่เคยคุยกันเลยค่ะ ตอนนี้ขอยังไม่ตอบดีกว่า มันขึ้นกับหลายปัจจัย ชีวิตแหม่ม ไม่เคยมีความปรารถนาว่าจะต้องเป็นแบบใดแบบหนึ่ง แค่อยากทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับประชาชนและโลกมนุษย์มากที่สุด ตอนเด็กๆแหม่มฝันแค่อยากเป็นนางรำ คิดตลอดว่าต้องเอ็นท์ให้ติด ไม่งั้นชีวิตจะลำบาก แต่ถ้าเอ็นท์ไม่ติด แหม่มก็จะไปเป็นนางรำ ฝันแค่นี้จริงๆ อยากมีเงินเดือนเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ให้สบาย เรามาไกลกว่า ที่คิดไว้มาก ที่เหลือคือกำไรชีวิตแล้ว.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ