หัวใจของเรามีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยการที่หัวใจจะทำงานได้ดีนั้นต้องมีระบบหลอดเลือดไปเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อ หัวใจและมีระบบไฟฟ้าในหัวใจที่ทำหน้าที่ให้จังหวะการเต้นของหัวใจอย่าง สม่ำเสมอ แต่หากเมื่อใดที่หัวใจมีภาวะเต้นผิดจังหวะขึ้นมาละก็... ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่เราควรรีบรักษาเพราะนั่นหมายถึงชีวิต...!!

นาย แพทย์กุลวี เนตรมณี ประธานสถาบันวิจัยหัวใจเต้นผิดจังหวะ แปซิฟิกริม โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้ว่า ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมี 6 ชนิด คือ

1. ภาวะหัวใจสั่นพลิ้ว เป็นอาการที่บ่อยที่สุด เกิดในหัวใจห้องบนทั้ง 2 ข้าง โดยจะเต้นแรงมากในอัตรามากกว่า 300 ครั้งต่อนาที เมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดออกไปไม่ดีทำให้ร่างกายส่วนอื่นขาดอาหารและออกซิเจน ทำนองเดียวกันเลือดที่เหลือตกค้างเป็นลิ่มเลือดและอาจหลุดเข้าไปในระบบไหล เวียนของเลือด ไปสู่สมองทำให้เกิดเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

ส่วนใหญ่อาการจะเป็นๆ หายๆ หรือเป็นต่อเนื่อง แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เช่น ใจสั่นทันทีทันใด หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ หัวใจหยุดเต้นตามด้วยเสียตุ้บแล้วเต้นเร็ว แน่นหรือเจ็บหน้าอกและลำคอ อ่อนเพลียและออกกำลังกายลำบาก เช่น ขณะเดินหรือขึ้นบันได เหงื่อออก มีนงง หายใจลำบาก เป็นลมหมดสติ

2. ภาวะหัวใจเต้นเร็วมาก เกิดในหัวใจห้องล่าง ซึ่งเป็นห้องใหญ่ที่บีบส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้หัวใจขาดประสิทธิภาพ และรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการหัวใจจะเต้นเร็วไป ช้าไป เต้นไม่สม่ำเสมอ โดยจะเต้นเร็วมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที เจ็บหน้าอก ใจสั่น วูบ เป็นลมหมดสติ หัวใจหยุดทำงาน

3. ภาวะใจสั่น เป็นความรู้สึกที่หัวใจเต้นเร็ว อาจรู้สึกสั่น เต้นไม่สม่ำเสมอหรือเต้นอย่างแรงและรวดเร็ว มีความรู้สึกอยู่ในหน้าอกหรือลำคอ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกอันตรายถึงชีวิต ถ้าเกิดร่วมกับอาการมึนงง หายใจลำบาก แน่นหน้าอกหรือเจ็บหน้าอก เป็นลมหมดสติ

4. ภาวะเป็นลมหมดสติ ไม่รู้สึกตัว เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมองชั่วคราว เกิดเนื่องจากความเครียด ยืนนานๆ มีความเจ็บปวดมาก ตากแดดนานเกิดไป ภาวะเสียน้ำหรือขาดน้ำ เหนื่อยอ่อน ซึ่งการเป็นลมหมดสติเป็นสัญญาณเตือนภัยที่อาจถึงแก่ชีวิตได้หากเกิดขณะออกกำลังกาย หรือเกิดร่วมกับภาวะหัวใจสั่นหรือมีความผิดปกติของหัวใจ และเกิดในคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นลมหมดสติบ่อยๆ หรือการตายกะทันหันด้วยโรคหัวใจ ซึ่งผู้ที่เคยเป็นลมหมดสติควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวัดความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจขณะนอนและยืน หรือตรวจคลื่นไฟฟ้าร่วมด้วย

5. การตายกะทันหันด้วยโรคหัวใจ เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะกะทันหันจนชีพจรหยุดเต้น ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ถ้าช่วยชีวิตด้วยการกู้ชีพไม่ทัน

6. ทางเดินไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติ อาจก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้หัวใจเต้นเร็วฉับพลัน มีอาการใจสั่นและเหนื่อยมาก แต่หัวใจจะเต้นเร็วเพียงไม่กี่นาที บางรายอาจเป็นติดต่อกันเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน บางครั้งสามารถหายไปเอง หรือถ้ามีอาการนานเกิดไปควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษา เพราะหัวใจอาจทำงานไม่พอเพียงและมีโอกาสเสียชีวิตได้

การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นอยู่กับชนิดของการเต้นผิดจังหวะที่พบ ได้แก่ การรับประทานยา ซึ่งส่วนใหญ่จะควบคุมการเต้นผิดจังหวะของหัวใจได้เท่านั้น ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ การรักษาด้วยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจถาวรในผู้ป่วยที่หัวใจเต้นช้ามาก บางคนต้องฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรงถูกกระตุกกลับเป็นปกติด้วยพลังงานไฟฟ้า การผ่าตัด เป็นการผ่าแก้โครงสร้างที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เป็นต้น

ปัจจุบันเราได้เปิด สถาบันวิจัยหัวใจเต้นผิดจังหวะ แปซิฟิก ริม โรงพยาบาลกรุงเทพ ร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ ภูมิพลอดุลยเดช และวชิรพยาบาล ทำให้มีการริเริ่มรักษาผู้มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติด้วยเทคโนโลยีใหม่ โดยใช้สายสวนชนิดพิเศษจี้จุดกำเนิดหรือวงจรการเต้นผิดปกติในห้องหัวใจด้วยไฟฟ้าพลังงานเท่าคลื่นวิทยุจึ้ทำลายจุดนั้นด้วยการหาตำแหน่งความผิดปกติในหัวใจจากภาพหัวใจ 3 มิติด้วยระบบแสดงภาพของ CARTO และ CARTO-SOUND ในสีต่างๆ ตามความซับซ้อนของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

ภาพ 3 มิตินี้สามรถทำแผนที่กับภาพที่ได้ จึงทำให้สามารถเห็นตำแหน่งของความผิดปกติขอโรคชัดเจนขึ้น แพทย์จึงจี้ทำลายจุดกำเนิดการเต้นผิดปกติได้ย่างแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถระบุตำแหน่งที่ได้รับการจี้รักษาแล้วทำให้ไม่ถูกจี้ซ้ำซ้อน ซึ่งเป็นการลดอาการแทรกซ้อนหลังการรักษา ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วและมีอัตราการหายมากกว่าการจี้หัวใจทั่วไป

นาย แพทย์ชาตรี ดวงเนตร ประธานคณะผู้บริหารศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดตั้ง สถาบันวิจัยหัวใจเต้นผิดจังหวะ แปซิฟิก ริม โรงพยาบาลกรุงเทพ ว่าเนื่องจากในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคหัวใจอัตราเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะโรคหัวใจ เต้นผิดจังหวะ ดังนั้นเพื่อสร้างมาตรฐานการรักษาให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น จึงมีการส่งเสริมการทำวิจัยอย่างเป็นระบบซึ่งต้องอาศัยความพร้อมด้านการ แพทย์และเทคโนโลยีต่างๆ จึงได้ประสานความร่วมมือจากสถาบันวิจัยหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งมีสาขาหลายแห่งในต่างประเทศมาจัดตั้งในประเทศไทย เพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งให้บริการตรวจรักษาและเป็นสถาบันที่ใช้ในการศึกษาต่อเนื่องสำหรับ อายุรแพทย์หัวใจต่อไปในอนาคต

ถึงแม้ปัจจุบันเราจะมีศูนย์วิจัยและสามารถรักษาภาวะโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วก็ตาม แต่สิ่งที่จะประมาทไม่ได้ก็คือการดูแลรักษาสุขภาพของเราให้ดีก่อน อย่ารอให้เจ็บไข้ได้ป่วย เพราะนั่นหมายถึงสุขภาพของเราได้ถูกบั่นทอนลงไปแล้วนั่นเอง

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
 http://www.bangkokhospital.com

...