หน้าตาก็ไม่คุ้น ชื่อเสียงเรียงนามก็ไม่คุ้นนัก แต่สำหรับวงการอาหารระดับ 5 ดาวแล้ว ผู้ชายคนนี้ถือเป็นพ่อใหญ่ของเชฟรุ่นใหม่ในเมืองไทย ทั้งดุ ดัน ปั้น จนได้เชฟไทยฝีมือดีไปแข่งชนะในระดับสากลมานับไม่ถ้วน...

ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของประเทศไทย ที่สามารถสร้างมาตรฐานของเชฟให้เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกได้ แต่กว่าจะเป็นได้อย่างทุกวันนี้ เส้นทางนั้นก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พรสวรรค์ในตัวอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องให้โอกาสเดินควบคู่ไปด้วย ซึ่งคนสำคัญที่เป็นทั้งครู และผู้บุกเบิกให้เชฟไทยได้เข้าไปแข่งขันในระดับนานาชาติ รวมถึงการเข้าสู่วงการเชฟมืออาชีพในระดับสากลได้นั้นก็คือ เชฟเหลียง หรือ Mr.Willment Leong ชาวสิงคโปร์(Director Culinary) จากโรงแรม Swiss Hotel Le Concorde ซึงเข้ามาทำงานในเมืองไทยนานถึง11 ปีแล้ว

" ผมเป็นเชฟมา 20 กว่าปีแล้วครับ ตอนแรกก็ทำที่สิงคโปร์ ทำไปทำมาทางบริษัทส่งผมไปอยู่ที่กัมพูชา 2 ปี แล้วพอดีมีโรงแรมมาเปิดใหม่ที่กรุงเทพฯ หัวหน้าก็เห็นว่าผมทำงานโอเค เลยส่งผมมาอยู่ที่นี่ต่อ ตอนแรกก็คิดว่าคงอยู่แค่ 2 ปีนะ แต่พอดีหัวหน้าที่ส่งผมมาอยู่เมืองไทยเขาลาออก ผมก็เลยไปไหนไม่ได้ เพราะคนขาด ก็เลยอยู่มาเรื่อยๆ พอเข้าปีที่ 4 เราก็รู้สึกว่าประเทศไทยดี ให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรม เพราะที่สิงคโปร์เป็นเมืองเล็กๆ ครับ ไม่มีประวัติศาสตร์อะไรที่ยาวนานแบบนี้ มีงานให้ผมทำ มีเงินให้ผมใช้ และส่งพ่อแม่ที่สิงคโปร์ผมก็เลยเริ่มรักที่นี่มากขึ้น ก็เลยตัดสินใจอยู่ต่อไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เข้าปีที่ 11 แล้วครับ"

...




แค่ทำงานที่โรงแรมอย่างเดียว จริงๆแล้วเชฟเหลียงก็ถือว่าอยู่ได้อย่างสบายอยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้ เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เชฟในโรงแรม 5 ดาวอย่างเดียว แต่เป็นทั้งครู และผู้ให้โอกาสแก่เด็กไทย โดยตั้งสถาบันฝึกอบรมการทำอาหารในสไตล์ Creative Life ชื่อว่า Thailand Culinary Academy"

"อย่างที่ผมบอกว่าตอนแรกผมแค่คิดว่ามาอยู่ไม่กี่ปี แต่พออยู่นานเข้ามันก็รู้กันดี และอยากอยู่ต่อมาเรื่อยๆ ทีนี้ผมเองก็มีลูกน้องเยอะ 100 กว่าคนเป็นคนไทยทั้งนั้นครับ เวลามีการแข่งขันเชฟ ก็ไม่เคยเห็นเขาได้แข่งขัน  ทีนี้ผมเลยดูว่าคนไหนมีแวว พอมีเวทีผมก็จับเขาเข้าไปแข่งสักครั้ง  อย่างปีแรกที่ลองส่ง เลือกไว้ 5 คน โห..ได้ 5 เหรียญเลย ปีต่อมาส่งต่ออีก 10 คน ผลออกมาก็ 10 เหรียญ จากนั้นมาเลยส่งไปเรื่อยๆ ซึ่งภาใน 5 ปี เราได้เหรียญทอง เงิน และทองแดง รวม 58 เหรียญ ถ้วยรางวัลอีก 10 ถ้วย ซึ่งมี 2 ถ้วยสำคัญมากคือ ถ้วยแชมป์ประเทศไทย และแชมป์เอเชีย ตั้งแต่นั้นมาเราก็คิดที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยแล้ว เลยตั้งทีมชาติเพื่อเข้าไปแข่งกับยุโรปเลย"



จากการเริ่มต้นเมื่อ 5 ปีก่อน ทำให้วันนี้ความสำเร็จของลูกศิษย์ เลยทำให้เชฟเหลียงภูมิใจอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่คนที่เข้าไปแข่งขันนั้นเริ่มมาจากศูนย์ เหมือนกับชีวิตของเชฟเหลียงเองเมื่อตอนเริ่มฝึกเป็นเชฟ ที่ได้รับโอกาสมาเหมือนกัน

"ผมเห็นหลายคนที่ไปแข่งกลับมาแล้วสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้ ผมก็รู้สึกดีใจนะ เพราะน้องๆ พวกนี้เหมือนเป็นตัวสะท้อนชีวิตตัวผมสมัยเริ่มเป็นเชฟก็ว่าได้ ผมเคยจนมากๆ พ่อแม่ก็เป็นแค่คนขายผลไม้ตามข้างทาง โดนตำรวจไล่ที่ประจำครับ ผมเลยต้องทำงานตั้งแต่เด็กๆ พอเริ่มเป็นวัยรุ่นก็ไปเป็นเด็กล้างจานในโรงแรม ไม่มีใครสนใจผมอยู่แล้ว แต่ก็โชคดีมีผู้ใหญ่ท่านนึงมาช่วยเหลือผม และพ่อผมก็ไปกู้เงินให้ผมไปเรียนเป็นเชฟด้วย จนมีทุกวันนี้ได้ ผมเลยมองว่าตัวเองยังได้รับโอกาสแล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวที่ตัวเองต้องให้โอกาสคนอื่นบ้าง ทีนี้ใครที่อยากเป็นเชฟจริงๆ ผมเลยสนับสนุนทุกคน  เรื่องเงิน เรื่องบุญคุณอะไรไม่ต้องมาคืนผมหรอก ขอให้ตั้งใจจริงๆ และทำอย่างต่อเนื่องแค่นี้เอง ประเทศไทยจะได้มีเชฟเก่งเยอะๆ"

ชีวิตของเชฟที่ลำบากมาตั้งแต่เด็กๆ ทุกวันนี้ถึงจะสบายแล้ว เชฟเลยติดนิสัยเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในการทำงานมากมาด้วย ซึ่งเชฟเหลียงเองก็ยอมรับมาตามจริงถึงเรื่องนี้ว่าลูกศิษย์ของเขาส่วนใหญ่ก็ ค่อนข้างกลัว แต่ที่ทำไปก็เพื่ออยากเจอคนที่ตั้งใจทำงานจริงๆ

"กว่า จะพาเขาข้าประกวด เราใช้เวลาฝึกหนักมากครับ ผมเองก็ก็ยอมรับนะว่าดุ เคยด่าถึงขนาดร้องไห้กันเลยก็มี แต่ผมจะไปอธิบายนอกรอบนะว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ทุกคนเห็นผมรู้ว่าผมเป็นคนยังไงครับจนชินแล้ว เขาจะรู้ทางหนีทีไล่ อย่างเวลาไปสนามแข่งขันจะทำอะไรกันก็ได้ แต่พอเห็นเชฟปุ๊บก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยครับ หน้าดุ ไม่ยิ้ม ด่าอย่างเดียวเลยครับ (หัวเราะ) เวลาไปแข่งขันที่ต่างประเทศเราไม่แบ่งแยกกันนะ ทุกอย่างต้องเป็นระบบเหมือนทหารเลยคือ เดินพร้อมกัน กินพร้อมกัน"

...



ดูงานของเชฟเหลียงเยอะขนาดนี้ เวลาที่เชฟจะอยู่กับตัวเองคงไม่ค่อยมีมากเหมือนคนอื่น แต่เขาก็รู้สึกสบายใจที่ได้ทำงาน แม้ว่าจะขาดคนรู้ใจมาคอยเติมเต็มให้ชีวิตชุ่มชื่นเหมือนหนุ่มๆ คนอื่น

"ผมไม่ค่อยมีเวลาครับ ทุกวันนี้เวลาว่างคือนอนอย่างเดียวคือตอนตี 1 ถึง 6 โมงเช้า เรื่องกลับไปเยี่ยมบ้านเลยนานๆ ที ไปได้แค่ 1-2 วันก็ต้องมาที่เมืองไทยแล้ว ส่วนเรื่องหญิง ผมเคยมีแฟนนะ แต่สุดท้ายก็ต้องเลิก ตอนนี้เลยยังไม่มีใครเลยทำงานตลอด แต่ถ้าจะมีอีกครั้งก็ขอคนที่ใช่สำหรับเราจริงๆนะ ไม่ต้องทำอาหารเก่งหรอก เดี๋ยวมาแย่งกันทำ ทะเลาะกันอีก (หัวเราะ) "

เชฟต่างชาติหัวใจไทยเต็มเปี่ยมคนนี้ ในอนาคตเขาบอกว่า ยังไม่รู้ว่าจะเกษียณอายุตัวเองตอนไหน แค่อยากทำตรงนี้ให้เต็มที่ และไปเรื่อยๆก็พอ

"ผมเองมีเป้าหมายที่สำคัญอยู่ แต่ยังไม่สำเร็จ เลยต้องทำให้ได้ก่อนครับ เพราะในปี 2012 จะส่งเด็กไปแข่งที่เยอรมัน คือที่นั่นคือสูงสุดของการเป็นเชฟแล้ว ถ้าทำได้ค่อยว่ากันอีกที เพราะทุกวันนี้พ่อแม่ของผมเองท่านก็สบายแล้ว เห็นเขามีความสุข ส่วนเรื่องสิ่งที่ผมคิดไว้ก็คงต้องทำให้ได้ต่อไป เพราะถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ ผมดื้อด้วยแหละ เลยคิดว่าต่อให้ 60-70 ปี ถ้ายังมีแรงก็ทำครับ"

ท้ายสุดก่อนจะปล่อยให้เชฟเหลียงไปทำงาน เลยต้องถามกันถึงเรื่องฝีมือทำอาหารบ้าง เพราะเชฟอยู่เมืองไทยมานาน พูดไทยก็คล่อง เลยลองถามเรื่องฝีมือการทำอาหารไทย เพราะตัวเชฟเหลียงเองก็ชอบทานเป็นอย่างมาก

"ผมทำบ้างนะ แต่ไม่บ่อยหรอก ไม่กล้าพูดด้วยว่าเป็นคนทำอาหารไทยเก่ง เพราะยังไงคนต่างชาติมาทำอาหารไทยมันก็ไม่อร่อยเท่าคนไทยทำหรอกครับ อาหารไทยก็ต้องคนไทยทำสิถึงจะอร่อยจริงๆ เพราะไม่มีใครรู้รสชาติแบบต้นตำรับเท่าชาติเราเองหรอกครับ ดังนั้นที่เชฟดังๆ หลายคนบอกว่าทำอาหารไทยอร่อย มันไม่จริงหรอก บอกแค่ว่าพอทำได้ก็พอแล้วครับ (ยิ้ม)".

...