ชื่อเสียงของตระกูลซอโสตถิกุล อาจไม่เคยติดทำเนียบอยู่ในสารบบตระกูลอภิมหาเศรษฐีเมืองไทย แต่ถ้าพูดถึงชื่อของ "กอบชัย ซอโสตถิกุล" นักธุรกิจรุ่นเก๋าวัย 75 ปี ทุกคนในวงการก่อสร้างเมืองไทย ต่างยกย่องให้เขาเป็นเจ้าแห่งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งฝากผลงานโดดเด่นไว้มากมายนับไม่ถ้วน ไล่ตั้งแต่การก่อสร้างโครงการสยามสแควร์ พร้อมโรงภาพยนตร์ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น คือ สยาม-ลิโด้-สกาล่า และโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล ที่กลายเป็นผลงานระดับตำนานของประเทศ ไปจนถึงการสร้างศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด 1 ใน 5 ของโลก มูลค่านับหมื่นล้าน บนพื้นที่เกือบ 100 ไร่ ย่านถนนศรีนครินทร์

นอก จากการทุ่มเทชีวิตและจิตใจให้กับงานก่อสร้างมาตลอดหลายทศวรรษ โดยกุมบังเหียนบริหารธุรกิจรับสร้างบ้านในเครือซีคอน และบิวท์ ทู บิวด์ รวมถึงสานต่อกิจการของครอบครัวในฐานะเจ้าของรองเท้ายี่ห้อนันยาง และผงชูรสยี่ห้อไทยชูรสตราชฎา "คุณกอบชัย" ยังอุทิศเวลาให้กับงานด้านสังคมสงเคราะห์อย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งค่อนชีวิต โดยทำงานให้มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งตั้งแต่ หนุ่มๆจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นผู้บุกเบิก พัฒนาโรงพยาบาลหัวเฉียว  จนโด่งดังมี ชื่อเสียง กลายเป็นโรงพยาบาลคุณภาพอันดับต้นๆของเมืองไทย

...

จากผู้บุกเบิกธุรกิจก่อ สร้าง  เข้าไปช่วยงานด้านสาธารณกุศลได้อย่างไร

คุณ พ่อผมเป็นนายกสมาคมจีนฮกเกี้ยน และสนิทกับเจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์ ซึ่งทำป่อเต็กตึ๊ง ท่านจึงชักชวนให้ผมเข้ามาช่วยงานที่ป่อเต็กตึ๊งตั้งแต่หนุ่มๆ จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้รับมอบหมายให้คุมการก่อสร้างโรงพยาบาลหัวเฉียว เป็นอาคาร 22 ชั้น เพื่อเปลี่ยนจากสถานพยาบาลผดุงครรภ์ มาเป็นโรงพยาบาลรักษาโรคทั่วไป บังเอิญในช่วงนั้นมีกรรมการบริหารคนหนึ่งเสียชีวิต ท่านเลยให้ผมเข้ามาทำหน้าที่แทน คงเห็นว่าทำหน้าที่ได้ดีพอควร จึงไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลหัวเฉียว จนถึงปัจจุบัน ก็กว่า 30 ปีแล้ว โดยโรงพยาบาลหัวเฉียวจะไม่เน้นเรื่องธุรกิจเหมือนโรงพยาบาลอื่นๆ แต่จะดำเนินตามรอยปณิธานของหลวงปู่ไต้ฮงกง คือ ช่วยเหลือและทำประโยชน์ให้สังคมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แล้วมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติถือกำเนิดขึ้นตอนไหน

ใน ช่วงเวลาเดียวกัน ก็มีการขยายโรงเรียนผดุงครรภ์อนามัย ให้เป็นวิทยาลัยพยาบาล เปิดเป็นคณะพยาบาลศาสตร์ ใช้ชื่อว่าวิทยาลัยหัวเฉียว และเปิดคณะสังคมสงเคราะห์อีกคณะ เพื่อมาช่วยงานของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กระทั่งเมื่อปี 2533 ครบรอบ 80 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จึงขออนุมัติจากทบวงมหาวิทยาลัย  ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย  และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อให้ว่า มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2535 ปัจจุบันมีทั้งหมด 13 คณะ ผมเริ่มบุกเบิกการก่อสร้างมหาวิทยาลัยตั้งแต่ยังเป็นบ่อปลา ตอนเริ่มถมดินมีอุบัติเหตุคนตาย พวกคนงานบอกว่าเห็นผีไม่กล้าเข้าไปในพื้นที่ ผมจึงปรึกษาหลวงพ่อที่นับถือกัน ท่านแนะนำว่าให้เอาโฉนดที่ดินใส่พาน และอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงเพื่อทำพิธี สมัยก่อนที่ดินทั้งหมดเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน ฉะนั้นถ้าเราขออนุญาตพระเจ้าแผ่นดินแล้ว จะไม่มีใครมารบกวน พอทำพิธีแผ่เมตตาแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย

เป็นวิศวกรก่อสร้างกับงานบริหารโรงพยาบาล  มีความยากง่ายต่างกันไหมคะ

สิ่ง ที่เหมือนกันคือ ใช้หลักการบริหารคน และบริหารงานเหมือนกัน เราทำธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว ก็ใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่มาบริหารโรงพยาบาล แต่จุดที่แตกต่างกันคือ พวกหมอนี่ละเอียดอ่อนกว่า เป็นคนหัวกะทิ คัดมาแล้วทั้งนั้น จะบริหารหมอต้องนิ่มนวล และอดทนมากๆ ต้องค่อยๆพูดทีละนิด ถ้าพวกเขาต่อต้าน เราต้องถอยมาตั้งหลักแล้วค่อยๆรุกทีละนิด สมัยก่อนยอมรับว่า ผมบริหารโรงพยาบาลไม่ค่อยได้ดังใจหรอก เพราะใช้ผู้อำนวยการที่เป็นหมอคนเดียวคุมทุกอย่าง พอพวกหมอด้วยกันทำไม่ถูก  ก็ไม่กล้าว่ากล่าวกัน ตอนหลังต้องเปลี่ยนโครงสร้างบริหารใหม่ ตั้งผู้อำนวยการ 2 คน คือฝ่ายแพทย์ และฝ่ายบริหาร ส่วนผมคุมทั้งหมดอีกทีหนึ่ง พอเปลี่ยนมาเป็นลักษณะนี้ โรงพยาบาลก็พัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ  มีประสิทธิภาพขึ้น ทั้งด้านการรักษาพยาบาล, การบริการ, การเงิน และภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลก็ดีขึ้นมาก

สไตล์การบริหารงานของ "คุณกอบชัย" ออกแนวบุ๋น หรือบู๊

ผม เป็นนักธุรกิจโลว์โปรไฟล์ ยึดสไตล์การทำธุรกิจที่เรียบง่าย ไม่เสี่ยง ไม่หวือหวา ตั้งแต่ทำธุรกิจมายังไม่เคยกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ แม้แต่บาทเดียว!! เมื่อมาบริหารโรงพยาบาลก็ถนัดใช้ไม้อ่อนมากกว่า ไม้แข็ง ผมว่าเรื่องคนสำคัญที่สุด ต้องรู้จักใช้คนให้ทำงานแทนเรา อันนี้สำคัญมาก เพราะเราคนเดียวคงทำเองทั้งหมดไม่ได้ ต้องใช้คนให้ทำงานแทนเรา โดยเลือกคนให้เหมาะกับงานมากที่สุด และเมื่อเขาทำงานให้เราก็ต้องมีน้ำใจกับเขาด้วย ผมไม่ถือว่าพวกเขาเป็นลูกจ้าง แต่จะถือว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ช่วยเราทำงานจนสำเร็จ เพียงแต่มีหน้าที่ต่างกันเท่านั้น ค่าตอบแทนเราต้องให้อย่างเหมาะสม อย่าไปขี้เหนียว และเรื่องกำลังใจก็สำคัญ ต้องคอยดูแลทุกข์สุขของพนักงาน เราต้องนั่งอยู่ในหัวใจพวกเขา ไม่ใช่นั่งบนหัวพวกเขา ทุกคนถึงจะมีใจทำงานให้เต็มที่ ผมจะไม่ใช้อารมณ์ดุด่าว่าใคร แต่ถ้าผิดก็ต้องทำโทษตามวินัย

...

อายุ 75 ปีแล้ว มีเคล็ดลับดูแลสุขภาพอย่างไรให้ฟิตปั๋ง

ผม ออกกำลังกายด้วยลีลาศ โยคะ ชี่กง และเล่นกอล์ฟ การเต้นลีลาศเป็นอะไรที่สนุก เราฟังเพลงแล้วเพลินไปกับมัน ไม่เหมือนวิ่งจ๊อกกิ้งนี่มันเบื่อ แต่ลีลาศเต้นไม่ง่ายนะ ยิ่งเป็นผู้ชายต้องเป็นฝ่ายนำผู้หญิง

ทราบมาว่า "คุณกอบชัย" เคยเผชิญวิกฤติใหญ่ในชีวิต?!

ตอน อายุ 50 ปี ผมเคยเบรกดาวน์ คือ เครียดมากจนทำอะไรไม่ได้เลย ภรรยาต้องพาไปรักษาตัวที่อเมริกา ไปพบจิตแพทย์ รักษาตัวอยู่ครึ่งปี จนกระทั่งอาการดีขึ้นถึงได้กลับมาทำงานเมืองไทย พอกลับมาปั๊บก็สร้างศูนย์การค้าซีคอนสแควร์เลย (หัวเราะ) กลับมาทำงานอีกครั้ง คราวนี้ต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่หมด  จากที่เคยบ้างานเอาเป็นเอาตาย เป็นจอมเพอร์เฟกชั่นนิสต์ อันนี้ก็เพลาๆลงเยอะ และต้องพยายามหาอะไรทำให้คลายเครียด เล่นกีฬาบ้างอะไรบ้าง เรื่องเหล้าบุหรี่ก็หลีกเลี่ยงหมด ที่สำคัญผมศึกษาธรรมะและนั่งสมาธิ ตรงนี้ช่วยได้มาก โดยเฉพาะธรรมะจากสมเด็จพระญาณสังวรฯ  ทำให้ค้นพบว่าคนเราเกิดมากี่ร้อยกี่พันชาติ  มีทั้งทำกรรมดีและไม่ดี ซึ่งเราจะต้องได้รับผลของทุกการกระทำ แต่ถ้าขณะนี้เราทำกรรมดีมากๆ ก็จะช่วยให้ผลของกรรมดีนำหน้ากรรมไม่ดี ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่คนเรานำติดตัวไปได้เมื่อตายแล้ว ก็คือบุญกุศล ถึงจะหาเงินทองได้เยอะแยะ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้

...

พูดถึงเรื่องธรรมะแล้ว ได้นำหลักธรรมมาใช้บริหารงานด้วยหรือไม่

เรื่อง นี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมพยายามนำธรรมะมาใช้ภายในโรงพยาบาล โดยได้จัดทำโครงการ "ธรรมะโอสถ" เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้แพทย์และพยาบาลใกล้ชิดกับธรรมะ โดยจัดกิจกรรมสวดมนต์ ฟังเทศน์ และนั่งสมาธิ ผมจะบอกพนักงานทุกคนว่า บุญนี่...ตายแล้วเราเอาติดตัวไปได้ แต่ทรัพย์สินต่างๆ เราเอาไปไม่ได้ ถ้าเราสามารถทำบุญโดยมีความเมตตาและจริงใจกับคนไข้ รักษาคนไข้ ด้วยความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ทำตามหน้าที่ อันนี้ก็ถือเป็นการทำบุญทำกุศลยิ่งใหญ่ และในปีนี้ ผมก็สานต่อเรื่องธรรมะในโรงพยาบาล โดยริเริ่มโครงการใหม่คือ "ธรรมรักษา" เพื่อใช้ธรรมะเยียวยารักษาจิตใจของผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้เกิดสติและมีจิตใจ ที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมเผชิญ หน้ากับความตายอย่างสงบ

การใช้ธรรมะเยียวยาจิตใจผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นก้าวสำคัญของวงการแพทย์ เมืองไทย?!

คุณ แม่ของผมเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ผมรู้ซึ้งดีถึงความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียคนที่รัก เมื่อได้มาอ่านหนังสือของพระไพศาล วิสาโล เรื่อง "เหนือความตาย" และหนังสือเรื่อง "เยียวยาด้วยรัก" ซึ่งรวบรวมจากประสบการณ์จริงของพยาบาลหน่วยรังสีวิทยา "กานดาวศรี ตุลาธรรมกิจ" ประจำคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ซึ่งดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วยความรัก ทำให้ผู้ป่วยเกิดกำลังใจ และเอาชนะช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต  จากไปอย่างสงบสุข  ผมจึงเกิดแรงบันดาลใจอยากทำโครงการกุศลใช้ธรรมะเยียวยารักษาผู้ป่วยระยะสุด ท้ายบ้าง   คนที่ป่วยระยะสุดท้ายส่วนมากจะมีทุกข์  ยิ่งถ้ารู้ว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย โลกนี้ยิ่งมืดมน พอจิตใจเป็นทุกข์แล้ว ร่างกายก็ทรุดโทรมเร็ว ทำให้ล้มป่วยไปกันใหญ่ ขณะเดียวกัน ญาติพี่น้องก็พลอยหมองเศร้าไปด้วย โครงการนี้มีจุดประสงค์จะช่วยรักษาใจยามเจ็บป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวพร้อมเผชิญความจริงร่วมกัน โดยผู้ป่วยจะมีความทุกข์ทรมานน้อยลง ขณะที่ญาติพี่น้องก็ได้เรียนรู้วิธีการดูแลผู้ป่วยด้านจิตใจ ด้วยความรักและความเข้าใจ ไม่ทำให้คนป่วยเกิดความอ้างว้าง เมื่อถึงวาระที่ต้องจากไปแล้วก็จะได้ยอมรับ และจากไปอย่างสงบสุขที่สุด

...

มีความเป็นไปได้ไหมคะ ที่โครงการดีๆแบบนี้จะเผยแพร่ทั่วประเทศ

ผม อยากใช้โครงการนี้เป็นโครงการนำร่อง ปัจจุบันโรงพยาบาลหัวเฉียวเปิดให้บริการธรรมรักษา ฟรีแก่คนไข้ระยะสุดท้ายทุกคน โดยเราได้จัดอบรมทีมงานขึ้นเฉพาะเพื่อเยียวยาจิตใจผู้ป่วย ภายในโครงการประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลาย เช่น การจัดธรรมะข้างเตียง ด้วยการนิมนต์พระภิกษุ ที่ผู้ป่วย หรือครอบครัว มีความศรัทธาเลื่อมใสมาสนทนาธรรม, กิจกรรมทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ตอนเช้า บริเวณเตียงคนไข้, เปิดแผ่นซีดีธรรมะให้ผู้ป่วยฟัง, ฝึกนั่งสมาธิ, เดินจงกรม และถวายสังฆทาน นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมอาสาสมัครเพื่อทำกิจกรรมร่วมกับผู้ป่วย เช่น อ่านหนังสือให้ผู้ป่วยฟัง, การนวดเพื่อคลายเครียด และทำกิจกรรมศิลปะบำบัด เพื่อผ่อนคลายจากความกังวล ต่อไปถ้าโรงพยาบาลอื่นสนใจ ทางเราก็ยินดีไปช่วยฝึกอบรม ตอนนี้ผมอายุ 75 ปีแล้ว เลยวัยเกษียณมานาน ก็คิดว่าโครงการธรรมรักษา น่าจะเป็นงานสุดท้ายที่สร้างความภูมิใจให้ชีวิต.

ทีมข่าวหน้าสตรี