เพื่อรำลึกถึงการจากไป ครบรอบ 15 ปี ของ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช" อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ซึ่งตรงกับวันที่ 9 ตุลาคม 2553 ลูกชายคนเดียวของปราชญ์ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินสยาม "ม.ล.รองฤทธิ์ ปราโมช" ได้เปิดบ้าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ย่านซอยสวนพลู ให้ทีมข่าวสตรีไทยรัฐ ได้พูดคุยเจาะลึกเป็นครั้งแรก เพื่อย้อนรำลึกถึงความรักความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างพ่อลูก รวมถึงความดีงามที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กให้ภาคภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์
"จำได้ว่า ทุกครั้งเวลากินข้าวเย็นด้วยกัน พ่อจะคุยกับหม่อมยาย (หม่อมลุดมีล่า ทองใหญ่ฯ) ถึงพระราชภารกิจและพระปรีชา สามารถของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการที่พระองค์ ท่านทรงนำประเทศไทยให้รอดพ้นจากเขี้ยวเล็บนักล่าอาณานิคมตะวันตก อันนี้เป็นการปลูกฝังให้เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย และไม่เคยเป็นขี้ข้าของใคร...รู้สึกรักพ่อที่สุด ที่ท่านปลูกฝังไว้ตั้ง แต่เด็ก ทำให้เราดีใจที่เกิดมาเป็นคนไทย"...ม.ล.รองฤทธิ์ ปราโมช ลูกชายคนโตของ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช" ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ในปัจจุบัน เล่าถึงความทรงจำอันน่าประทับใจในวัยเด็ก
หลายคนสงสัยว่า "ม.ล.รอง-ฤทธิ์" เติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบใด
ผมมีน้องสาวคนเดียว คือ "ม.ล.วิสุมิตรา ปราโมช" ตอนเด็กๆพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในซอยสวน พลู เป็นบ้านไม้สองชั้นเรือนปั้นหยา กระทั่งผมอายุ 10 กว่าขวบ ก็ถูกส่ง ไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ คุณพ่อเองก็เรียนจบมาจากโรงเรียนประจำสำหรับ ผู้รากมากดี ท่านจึงอยากให้ลูกๆเดินตามรอยบ้าง น้องสาวผมเป็นเด็กดี สามารถใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ ระเบียบวินัยของโรงเรียน ประจำ ตรงข้ามกับผมที่ ค่อนข้างตามใจตัวเอง ทนอยู่ในกฎเกณฑ์ของพวกผู้ดีอังกฤษไม่ได้ คือต้อง อาบน้ำในอ่างเดียวกันกับรุ่นพี่สี่ห้าคน คิดดูสิว่าน้ำในคลองบ้านเรายังสะอาดกว่า ที่ผ่านมา "คุณลุงเสนีย์ ปราโมช" รวมถึงลูกๆหลานๆในตระกูลปราโมช ก็อดทนเรียนได้จนจบ มีแต่ผมที่นอกรีตไม่ยอมทน เรียนได้แค่อาทิตย์เดียวก็หนีออกจากโรงเรียนประจำขึ้นรถไฟไปหาคุณยายในกรุงลอนดอน จนกลายเป็นเรื่องฮือฮาใหญ่ เพราะไม่เคยมีนักเรียนไทยคนไหนกล้าแหกคอก โชคดีที่คุณพ่อเข้าใจ บอกว่าถ้าอึดอัดใจก็อย่าเรียนเลยลูก เพราะพ่อเองก็ไม่ชอบโรงเรียนประจำ เพียงแต่พ่อไม่มีความกล้าพอจะหนีแบบลูก เธอมีความแกร่งกล้าในนิสัย สรุปว่าไม่ต้องเรียนโรงเรียนประจำ แต่ได้มาอยู่กับคุณยายที่ลอนดอน และเรียนโรงเรียนกวดวิชาอยู่ 3 ปี จึงสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเซนต์ มาร์ติน เรียนด้านจิตรกรรม เขียนสีน้ำมัน จากนั้นก็สอบได้ทุนไปอเมริกา เรียนต่อระดับปริญญาโทด้านเพนติ้ง ที่สคูล ออฟ ไฟน์ อาร์ต ของมหาวิทยาลัยเยล ตอนแรกตั้งใจว่าจะหางานทำที่เมืองนอก แต่พ่อบอกว่าฉันมีลูกแค่สองคน น้องสาวเธอก็แต่งงานไปกับต่างชาติ เธอต้องกลับมาอยู่เมืองไทยดูแลฉัน เลยตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย สมัครเป็นครูสอนอยู่ที่วิทยาลัยช่างศิลป์ ก็สอนมาเรื่อยๆ 30 กว่าปี จนถึงเกษียณอายุเมื่อหลายปีก่อน
ถ้าพูดถึงคุณชายคึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเป็นคุณพ่อแบบไหน
พ่อเป็นพ่อที่ดีมาก พ่อเป็นคนที่ปกป้องและโอบอุ้มมาก ที่สำคัญเป็น คนมีเมตตาสูงมาก พ่อไม่เคยส่งเสริมให้ลูกๆเหิมเกริมเลย เพราะตัวพ่อเองก็เคยว่ากล่าวพี่น้องคนอื่นๆว่าไม่เคยเล่นกับลูกชาวบ้านเหมือนกับฉัน เวลาพ่อไปไหนก็จะคบได้หมดคุยได้หมด ถึงจะเป็นตาสีตาสาก็คุยกับเขารู้เรื่อง พ่อไม่เคยแบ่งแยกว่าเป็นคนรวยหรือจน ไม่เคยใช้ไม้บรรทัด 2 มาตรฐาน และท่านก็สอนลูกให้โตมาแบบธรรมดาๆ ไม่เคยบ่มเพาะความคิดว่าต้องกร่าง ทำตัวเป็นเจ้า หรือเป็นลูกนายกรัฐมนตรี สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะหวงแหนชีวิตความเป็นส่วนตัวมาก ไม่ค่อยพูดถึงลูกๆ หรือเรื่องในบ้าน เพราะไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวาย พ่อเป็นคนที่สมาธิแน่วแน่มากเลย พ่อทำอะไรได้หลายๆอย่างพร้อมกัน พ่อชอบเขียนหนังสือ พ่อรักต้นไม้มาก จะเป็นคนดีไซน์สวนเองทุกอย่าง ท่านทำกับข้าวเก่ง และเป็นคนรักสัตว์มาก จะต้องมีสุนัขอยู่ข้างกายตลอดเวลา เวลาที่ท่านเดินทางไปไหนไปเจอสุนัขก็จะซื้อมาเลี้ยงที่บ้าน แม้แต่สุนัขข้างถนนท่านก็เก็บมาเลี้ยง นอกจากสุนัขแล้ว บ้านเรายังเคยเลี้ยงหมี, ชะนี, นกหงส์หยก, นกแก้ว, กระรอก และชะมด
ท่านเลี้ยงลูกสไตล์ไหน เป็นคุณพ่อที่ดุไหมคะ
คุณชายคึกฤทธิ์ท่านเป็นพ่อที่ประเสริฐ ท่านมีวิธีสอนลูกของท่านโดยที่ลูกไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสอนอยู่ อย่างเมื่อวันเกิดของผมตอนอายุ 9 ขวบ ท่านซื้อของขวัญวันเกิดเป็นหนังสือเล่มใหญ่ เรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ ซึ่งมีเรื่องราวและเนื้อหามากเกินที่เด็กอายุ 9 ขวบ จะมีความเพียรอ่านได้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ท่านบอกว่า หนังสือเล่มนี้แปลกกว่าหนังสือเล่มอื่นๆ เพราะมีตัวสะกดการันต์ที่ไม่เหมือนหนังสืออื่น เพราะเป็นตัวสะกดแบบโบราณของ ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม พ่อบอกให้หาดูว่ามีคำที่สะกดการันต์ผิดแปลกไปจากการสะกดสมัยใหม่กี่คำ อันนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมมีความเพียรที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะที่อ่านไปก็ได้รับความสนุกจากเนื้อเรื่องและซึมซับความไพเราะเพราะพริ้งของบทกลอน ที่สุนทรภู่ได้ ประพันธ์เอาไว้ นี่เป็นจุดเริ่มในการปลูกฝังความรักในวรรณคดีให้แก่เด็กในวัย 9 ขวบ
เป็นลูกนายกรัฐมนตรีชีวิตเปลี่ยนไปมากไหม
ไม่เปลี่ยนสักนิด (หัวเราะ) ผมชอบสวมรองเท้าฟองน้ำไปสอนหนังสือ ยังไง ก็ยังแต่งกายอย่างที่ชอบอยู่ มีคนเห็นก็สะกิดกันดูว่า ดูสิๆนั่นลูกนายกฯ ทำไมแต่งตัวโทรมจัง เราก็สวนกลับทันควันเลยว่า ฉันใส่รองเท้าฟองน้ำก็ดีถมไปแล้ว เพราะก่อนจะเป็นลูกนายกฯฉันเดินตีนเปล่าด้วยซ้ำ!!
เป็นพ่อลูกที่สนิทสนมกันไหมคะ
สนิทกันมาก เพราะเราคิดอะไรคล้ายๆกันเหมือนฝาแฝด บางทีไม่ต้อง พูดอะไรเราก็รู้แล้วว่าพ่อต้องการอะไร ทุกวันนี้ ที่ผมพอจะมีความรู้ และความเข้าใจในศิลปะและดนตรีไทยบ้าง ก็ได้รับอิทธิพลที่พ่อปลูกฝังไว้ ตั้งแต่เด็กๆ ด้วยการพาไปชมโขนและละครของกรมศิลปากรที่โรงละครเก่า ซึ่งถูกไฟไหม้ไปแล้ว แต่ความทึ่งและความสนใจในนาฏศิลป์ไทยก็ยังฝังอยู่ในใจจนทุกวันนี้ พ่อเคยพูดเสมอว่า อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ พ่อก็มีวิธีที่จะทำเรื่องยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่ายที่เด็กจะเข้าใจได้ เช่น พ่อจะเล่าให้ฟังว่า เดิมสุนัขไทยเป็นหมาป่าชนิดเล็กที่อยู่ในเอเชียตอนบน แล้วก็มารักกับคนไทย เลยติดตามกันลงมาอยู่ในแหลมทอง เมื่อเรานึกถึงความ ผูกพันที่หมาป่าชนิด เล็กนี้มีกับบรรพบุรุษของคนไทยมาเป็นเวลาอันยาวนาน ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะมีความรักและเมตตาต่อสัตว์ที่มีความจงรักภักดี และขวนขวายอยากศึกษา ถึงที่มาของชนชาติไทย
นิสัยอันไหนที่ซึมซับมาจากคุณพ่อมากที่สุด
ก็คงจะเป็นเรื่องความรักและเมตตาต่อสัตว์ โดยเฉพาะสุนัข คุณพ่อเป็นคนมีเมตตาสูง อย่างเราไปเที่ยวสงขลากัน ลิงมันเยอะมาก ก็ซื้อกล้วยไปเลี้ยงลิง ระหว่างที่พ่อนั่งดู มีลิงรุ่นๆมานั่งใกล้ พอพ่อเผลอมันก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แทนที่จะดุลิง พ่อพูดกับลิงอย่างดีว่า นี่เธอเป็นสาว เป็นแซ่นะ ทำไมทำตัวแบบนี้ ไม่น่ารักเลย เอามือออกไปซะ ปรากฏว่าลิงก็ทำตามเหมือนจะเข้าใจ หรืออย่างบ้านที่เชียงใหม่ พ่อเคยเจองูเห่าตัวใหญ่กำลังเลื้อยอยู่ในสวน แทนที่พ่อจะหยิบไม้มาตี กลับพูดกับงูอย่างสุภาพว่า นี่เธอจะมานอนตากแดดอะไรตรงนี้ ถ้าฉันไม่เห็นเกิดเดินเหยียบเธอเข้า เธอจะกัดฉัน แล้วฉันก็ต้องเอาไม้ตีเธอ จะเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันเปล่าๆ เธอไปที่อื่นซะเถอะ ผมเองก็ซึมซับนิสัยรักสัตว์มาจากคุณพ่อ เรียกว่าเห็นคนรังแกสัตว์ไม่ได้จะของขึ้นทันที ทุกวันนี้เจอสุนัขจรจัดที่ไหนไม่ได้ จะต้องเก็บมาเลี้ยงที่บ้าน เลี้ยงไว้เยอะจนมีอยู่ร่วม 100 ตัวแล้ว ผมตั้งชื่อให้สุนัขทุกตัว และดูแลประคบประหงมอย่างดี รู้สึกมีความสุขที่ได้คืนชีวิตใหม่ให้พวกมัน ผมชอบไปเดินออกกำลังกายที่สวนลุม และทุกครั้งมักจะถือไก่ปิ้งหมูปิ้งติดมือไปด้วย เจอลูกหมาที่ไหนก็ให้กินหมด เลยมีสุนัขตามมาอยู่ด้วยหลายตัว บางตัวก็เจอแปลกๆ อย่างเช่น ตัวสีดำที่เจอบนทางด่วนตอนเดินทางกลับจากชลบุรี กำลังนอนตัวสั่นอยู่ ผมเลยเอาผ้าห่มไปอุ้มมันขึ้นรถพากลับไปเลี้ยงที่บ้าน และตั้งชื่อให้ว่าดวงลื้อดี หรือ "เจ้าจารุณี" ก็เป็นหมาที่รักมาก ขาหลังหักทั้งสองข้าง ไปเจอมันที่สำนักพิมพ์สยามรัฐ ก็อุ้มมาใส่เฝือกที่ รพ.จุฬาฯ เลี้ยงดูฟูมฟักจนแข็งแรงเชียว เพิ่งตายไปด้วยโรคมะเร็งตอนอายุ 14 ปี
ในฐานะเจ้าของบ้าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์คนปัจจุบัน ไม่ทราบว่าอนาคตจะพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์หรือเปล่า
ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี ก็เป็นห่วงอยู่ว่าถ้าเราตายไปแล้วจะทำอย่างไร ไม่รู้ว่าหลานๆจะเข้ามาดูแลต่อได้ไหม หรือควรจะยกให้กรมศิลป์เข้ามาดูแล ก็ได้แต่จุดธูปบอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ขอให้ตัดสินใจได้ถูกต้อง แล้วค่อยพรากตัวไปเฝ้าพระอินทร์ เพราะพ่อฝากฝังไว้ให้ดูแลบ้านนี้ท่านรักของท่านมาก
นอกจากเรื่องบ้านแล้ว ยังห่วงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบ้าน รวมถึง พวกสุนัขจรจัดที่เลี้ยงไว้กว่า 100 ตัว ถ้าเป็นไปได้ ก็ฝันอยากหาพื้นที่กว้างๆไว้เป็นที่อยู่อาศัยของหมา และสัตว์อื่นๆ ผมยังอยากช่วยรัฐบาลดูแลสัตว์ป่าที่ถูกยึดมา เพราะรัฐบาลไม่มีงบที่จะเลี้ยงดู ต้องกินต้องอยู่ จะปล่อยเข้าป่าก็ไม่ได้ เพราะมันถูกจองจำมานานแล้ว เป็น 2 เรื่องสำคัญที่ผมอยากทำให้ลุล่วง ทุกวันนี้พอมีสตางค์ซื้อข้าวให้สุนัขกินบ้าง ตัวเองกินบ้าง แบ่งๆกันกิน แต่ในอนาคตก็ไม่รู้ จะเกิดอะไรขึ้น จึงอยากตั้งมูลนิธิเป็นเรื่องเป็นราว ตอนนี้รอก็แต่เงินทุนสนับสนุนเท่านั้น!!
...