ในปัจจุบันวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ความเครียดสะสมที่เกิดจากการทำงานหรือปัญหาส่วนตัว ความเจริญก้าวหน้าอันรวดเร็วของสังคมและเทคโนโลยีต่างๆ ได้ก่อให้เกิดผลเสียที่แอบแฝง ซึ่งส่งผลกระทบถึงสุขภาพของพวกเราทุกคน ทำให้มนุษย์มีโอกาสที่จะเกิดโรคภัยต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอัลไซเมอร์ โรคติดเชื้อหรือแม้แต่โรคมะเร็งชนิดต่างๆ ก่อนวัย ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคภัยต่างๆ นั้นเราพบว่าเป็นผลจากความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับเซลล์ที่อยู่ในอวัยวะต่างๆ กล่าวง่ายๆ ก็คือเมื่อเซลล์ในอวัยวะเริ่มผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ อวัยวะนั้นก็จะเริ่มทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดแสดงเป็นอาการหรืออาการแสดง ( signs and symptom ) เมื่ออาการและอาการแสดงต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ก่อให้เกิดโรคหรือกลุ่มอาการ (disease and syndrome ) แสดงออกมา ปัจจัยหนึ่งซึ่งส่งผลอย่างรุนแรงต่อการเสื่อมของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ก็คือการเสียสมดุลของอนุมูลอิสระและสารต้านอนมูลอิสระในร่างกายของเรา

นพ.อรรถสิทธิ์ อมรถนอมโชค  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย   โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

“มนุษย์เราทุกคนต้องการออกซิเจนที่อยู่ในอากาศเพื่อการดำรงชีพอยู่  ออกซิเจนที่สูดดมเข้าจะถูกเซลล์ตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเราไปใช้เพื่อที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี ทำให้เซลล์ต่างๆ สามารถผลิตพลังงานของเซลล์ หรือที่เราเรียกว่า cell ATP  เพื่อนำพลังงานดังกล่าวไปใช้ แต่การนำออกซิเจนไปใช้งานของเซลล์  จะก่อให้เกิดของเสียที่เราเรียกว่าอนมูลอิสระหรือ free radicals  ซึ่งก็คือโมเลกุลที่ไม่เสถียรที่ขาดอิเลกตรอน 

อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะไปแย่งจับอิเลกตรอนของโมเลกุลปกติของเซลล์ในร่างกาย  ทำให้เซลล์ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ และเซลล์ก็จะเสื่อมไป  แต่กลไกตามธรรมชาติของมนุษย์  จะมีระบบการทำงานของเอมไซม์บางชนิด เช่น Superoxide dismutase หรือ Glutathione reductase และอื่นๆ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ที่เราได้รับเข้าไปในร่างกายเอมไซม์ดังกล่าวและสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ของเราเสื่อมจากการถูกแย่งจับ    อิเลกตรอนจากอนุมูลอิสระ และช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระไม่ให้มีมากเกินไป  เซลล์ของเราก็จะคงอยู่ได้ไม่เสื่อมสลายไปก่อนเวลาอันควร หากร่างกายของเราเกิดการเสียสมดุลอันส่งผลให้อนุมูลอิสระมากเกินไป หรือเอมไซม์และสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่เพียงพอ ก็จะก่อให้เกิดภาวะถูกออกซิไดซ์เกิดสมดุล ( Oxidative stress ) ก็จะนำมาซึ่งโรคภัยต่างๆ

โดยเราพบว่าปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้นในร่างกายของเรา ได้แก่  รังสียูวีที่อยู่ในแสงแดด, โลหะหนักที่ปนเปื้อนในอากาศ อาหาร น้ำดื่ม  บุหรี่   เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์  ยารักษาโรค  การดำรงชีวิตที่ขาดการออกกำลังกาย รวมถึงการออกกำลังกายที่หักโหมมากเกินไป   ความเครียด หรือโรคติดเชื้อต่างๆ ทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น

ดังนั้น การหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว จะช่วยให้อนุมูลอิสระในร่างกายมีไม่มากเกินไป  ตัวอย่างของโรคภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่มีอนุมูลอิสระสะสมมากเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน โรคไตเสื่อม และโรคมะเร็งชนิดต่างๆ

รู้ได้อย่างไร...เซลล์ในร่างกายถูกทำลายมากน้อยแค่ไหน

ในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยทำให้เราสามารถตรวจวัดได้ว่าร่างกายของเรามีการถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระมากน้อยแค่ไหน  และสามารถตรวจวัดประสิทธิภาพหรือศักยภาพของร่างกายในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีเพียงใด ซึ่งการตรวจดังกล่าวสามารถตรวจวัดได้โดยการใช้เครื่องที่เราเรียกว่า EIS หรือ Electro interstitial scan เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้นที่ไม่ต้องเจาะเลือด แต่ถ้าผลการตรวจพบว่าผิดปกติ แพทย์ก็จะแนะนำให้ตรวจจากเลือดโดยวิธี d-ROMS test และ BAP test ( Biological antioxidant potential ) เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นการตรวจเลือดของเรายังสามารถตรวจวัดเพื่อหาปริมาณของเอมไซม์ Glutathione และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ที่เราได้รับจากการบริโภคเข้าไป เช่น วิตามินเอ, ซี, อี, เบต้าแคโรทีน, โคเอมไซม์คิวเทน และอื่นๆ ว่ามีมากน้อยหรือเพียงพอหรือไม่ที่จะช่วยลดระดับอนุมูลอิสระในร่างกาย  ซึ่งจะช่วยทำให้เราสามารถเลือกรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น การตรวจวิเคราะห์ดังกล่าว จึงถือได้ว่าเป็นการตรวจวิเคราะห์ลงลึกก่อนที่เซลล์จะเสื่อมหรือ   เป็นการตรวจวิเคราะห์ ก่อนที่จะเกิดโรคต่างๆหรือ Early detection

ป้องกันอย่างไร ให้ห่างไกลความเสื่อมของเซลล์

การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นประจำเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย แต่การตรวจสุขภาพอาจจะยังไม่เพียงพอที่จะช่วยเตือนให้เราทราบและป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค  การตรววิเคราะห์ลงลึกถึงระดับเซลล์จะทำให้เรารู้ว่าเซลล์ของเราผิดปกติแล้วหรือยังก่อนที่จะแสดงเป็นอาการหรือโรคภัยต่างๆ ออกมา การป้องกันก่อนที่จะเกิดโรคจึงถือว่าเป็นแนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพที่ดีที่สุด เพื่อที่จะลดอัตราการเกิดโรค หลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่เกิดจากโรคภัยต่างๆ และการรักษาในอนาคต”  นพ.อรรถสิทธิ์  กล่าวทิ้งท้าย

...


ข้อมูลจาก ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย  โรงพยาบาลเวชธานี
www.vejthani.com
Email:37C@vejthani.com