ยานอวกาศจากสตาร์ เทร็ค.
นิยายวิทยาศาสตร์ หรือไซ-ไฟ (Science Fiction) ล้วนสร้างสรรค์จินตนาการอันน่าตื่นตาตื่นใจของอนาคตกาล โดยเฉพาะการผจญภัยในห้วงจักรวาลอันกว้างขวางไร้ที่สุด เช่นการเดินทางด้วยเครื่องจักรแห่งเวลา หรือไทม์แมชีน (Time Machine) การสร้างพิภพใหม่บนดวงดาวอันไกลโพ้น การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เราลองมาฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญกัน
เรื่องแรกได้แก่การ "ขนส่ง" มนุษย์เป็นๆจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งซึ่งห่างไกล ด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ นั่นคือ เท่ากับ หรือเร็วกว่าความเร็วของแสง (300,000 กม./วินาที) นิยายที่เป็นหนังทีวีเรื่อง สตาร์ เทร็ค (Star Trek) การขนส่งมนุษย์ (Transporter) นั้นใช้วิธีการแยกแยะร่างกายออกเป็นจุลภาค...ทีละอะตอม แล้วเปลี่ยนอะตอมทั้งหมดให้กลายเป็น ลำแสงพลังงาน (Energy Beam) พุ่งวาบ ไปยังจุดเป้าหมาย จากนั้นก็แปลงมวลของอะตอมให้รวมตัวกันประกอบขึ้นเป็นร่างกายดังเดิมตามหลัก การวิทยาศาสตร์ วิธีการนี้เป็นไปได้ มากน้อยเพียงใด
...
ภาพจำลองหลุมดำ.
เรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์หลายคน ข้องใจว่า ถ้าหากแยกแยะร่างกายออกเป็นชิ้นส่วนละเอียดยิบดังกล่าว ย่อมหมายความว่า บุคคลนั้นต้องม้วยมรณา หรือถูก "ฆ่า" เสียก่อนใช่หรือไม่ และการ เกิดชีวิตขึ้นใหม่ก็เป็นการใช้เทคโนโลยีโคลนนิ่ง (Clonning) คือสร้างทายาทที่เหมือนบุพการีไม่ผิดเพี้ยนจริงไหม?
ในหนังเรื่อง "ไอ้แมลงวัน (The Fly)" ก็ ใช้เทคนิคคล้ายคลึงกัน โดย "สลาย" ร่างบุคคลที่อยู่ในตู้ทดลองใบหนึ่ง แล้วไปโผล่ตู้อีกใบหนึ่ง แต่ในการทดลองครั้งต่อมา เผอิญมีแมลงวันตัวหนึ่งบินพลัดหลงเข้าไปในตู้ "สลาย" ร่างด้วย เมื่อไปรวมตัวในตู้อีกใบ จึงเกิดกรณีการผสมเซลล์พันธุกรรม แมลงวันเข้าไปในร่างมนุษย์ เขาจึงมีรูปร่างและพฤติกรรมวิปริตผิดมนุษย์...โน้มเอียงไปทางแมลงวัน
แม้ มีความเป็นไปได้น้อยในการสลายร่างเป็นอะตอมเล็กๆนับล้านๆแล้วไปรวมตัวอีก ครั้งก็ตาม แต่กองทัพของสหรัฐอเมริกาก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้ และทำการศึกษาการขนย้ายวัตถุ (Matter Transmission Systems) ในอนาคตอย่างจริงจัง ทว่าก็พบถึงอุปสรรคมากมายเกินพอ เพียงแค่การขนส่งมนุษย์หนึ่งคนก็ต้องอาศัยแหล่งเก็บข้อมูลมหึมา แบบว่าเต็มตึกเอมไพร์สเตท 500 ล้านหลังนั่นเทียว!
ลุค สกายวอล์คเกอร์ กับดาบเรืองแสง.
แต่ก็ไม่แน่ ในอีก 200-300 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีเก็บข้อมูลอาจมีความสามารถสูงจนไม่เป็นปัญหาก็ได้
อีกเรื่องหนึ่งก็มีอยู่ใน "สตาร์ เทร็ค" เช่นกัน ได้แก่ การนำเอา "หลุมดำ (Black Hole)" มาใช้ เป็นอาวุธ
อัน "หลุมดำ" นั้นก็เป็นที่รู้กันดีว่า เป็นมวลที่มีความหนาแน่น และแรงโน้มถ่วงสูงมหากาฬ สามารถดูดอะไรต่อมิอะไรเข้าไปอยู่ในตัวมันอย่างไม่อาจต้านทานได้ แม้แต่แสงก็ยังโดนมันดูดเข้าไปด้วย เมื่อไม่มีแสงเล็ดลอดออกมา จึงมีแต่ความมืดสนิทจนได้รับการขนานนามว่า "หลุมดำ"
ใน "สตาร์ เทร็ค" มีการใช้วัตถุที่เรียกว่า "สสารแดง (Red Matter)" เข้าไปก่อตัวเป็นหลุมดำอยู่ในแกนใจกลางของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง และมันก็ตั้งต้นดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างบนดาวเคราะห์ นั้นจนสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือ หายวับไปจากจักรวาล โดยสิ้นเชิง
เอเลี่ยนและพรีเดเตอร์.
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หวั่น เกรงก็คือ ในการ ทดลองใดๆที่ก่อให้เกิดการชนกันอย่างรุนแรงในระดับอะตอม ความเร็วสูงสุดของอะตอมนั้นอาจก่อตัวขึ้นเป็นหลุมดำก็ได้ และโลกเราก็จะโดนกลืนกินไป
ดังเช่น การทดลองเครื่องเร่งความเร็วอะตอม และปล่อยให้ชนกัน ซึ่งสร้างขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ในชื่อว่า "เครื่องเร่งปะทะอนุภาคฮาดรอน (Hadron Collider)" เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นจากการที่อะตอมชนกันด้วยความเร็วยิ่งยวด เกือบเท่าแสง และหากว่ามีหลุมดำเล็กๆก่อตัวขึ้นมาด้วยโดยไม่อาจควบคุมได้ อะไรจะเกิดขึ้น
...
การขนส่งมนุษย์โดยวิธีใช้ลำแสง.
นิยายวิทยาศาสตร์ หลายเรื่องมีฉากที่มนุษย์ ต่างดาวอพยพมาจากโลกอื่น ซึ่งหมดสภาพการใช้อาศัย ต้องเดินทางแสวงหาที่ราบใหม่ โลกเราก็เช่นกัน ในอนาคตก็เป็นไปได้ที่ทรัพยากรหมดไป สภาวะแวดล้อมต่างๆ เช่น ความหนาว-ร้อน ทำให้ ไม่เหมาะสมที่เราจะอยู่ได้ ก็จำเป็นต้องหาโลกใหม่ ซึ่งดาวใกล้สุดที่มีการเล็งกันไว้ก็คือ ดาวอังคาร (Mars) ซึ่งมีสภาวะที่ใกล้เคียงกับโลกมนุษย์ที่สุด
หากทว่า ก่อนจะอพยพไปอยู่ได้ ก็ต้องปรับ ปรุงสภาพดาวอังคารกันยกใหญ่ เพราะพื้นผิวดาวดวงนี้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นบนทุ่งราบ หรือเนินเขา มีทั้งปล่องภูเขาไฟขนาดยักษ์และลำน้ำที่แห้งผาก
จะ ต้องมีการกำจัดน้ำแข็งแห้ง หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในสภาวะของแข็งออกไปด้วยการใช้ความร้อนให้ หลอมละลาย เช่น ใช้ดาวเทียมติดกระจกเลนส์โฟกัสแสงอาทิตย์ลงบนพื้นผิวดาวอังคาร หรือฝังวัสดุสีดำไว้พื้นผิวขั้วโลก ซึ่งมันจะดูดซับความร้อนจากแสงแดดได้ดี น้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่ก็จะละลายและระเหย ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลอยขึ้นและรวมตัวเป็นชั้นบรรยากาศ ทำหน้าที่เสมือนเรือนกระจกที่อุ้มความร้อนไว้ กระทั่งอุณหภูมิมีระดับเหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์โลกต่อไป นี่เป็นเพียงขั้นตอนแรกซึ่งกว่าจะไปอยู่ได้จริงก็กินเวลานานและต้องปรับปรุง อีกหลายขั้นตอน
...
เครื่องเร่งปะทะอนุภาคฮาดรอน.
ทุกวันนี้ การท่องอวกาศไม่ใช่เรื่องยาก และโลกเราก็ได้ส่งยานอวกาศไปถึงทุกดาวในสุริยจักรวาลแล้ว ยกเว้นดาวพลูโต แต่การจะออกไปนอกจักรวาลยังต้องมีการพัฒนาอีกมากโข อุปสรรคสำคัญก็คือความเร็วของการเดินทาง เพราะระยะระหว่างจักรวาลนั้นห่างกันเป็นหลายล้าน หรือเป็นพันล้านไมล์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างยานที่มีความเร็วเทียบเท่ากับแสง...!
เรื่อง นี้ นักดาราศาสตร์นามว่า มิเกล อัล-คิวปิแอร์ กล่าวว่า มีโอกาสเป็นไปได้ โดยใช้วิธีการให้อวกาศเบื้องหลังยานเกิดอาการขยายตัวอย่างฉับพลัน และดันยานให้พุ่งไปข้างหน้า เฉกเช่นเดียวกันกับการเกิดระเบิด บิ๊กแบง (Big Bang) อันเป็นต้นกำเนิดของจักรวาล ซึ่งเมื่อเกิดบิ๊กแบงขึ้น อากาศก็ขยายตัว สรรพสิ่งทั้งมวลพุ่งลิ่วออกไปจาก ศูนย์กลางการระเบิดด้วยความเร็วกว่าแสงหลายสิบหลายร้อยเท่า จนเกิดเป็นจักรวาลอันไพศาลอย่างทุกวันนี้
หากทว่า ยานอวกาศในปัจจุบันยังคงใช้เชื้อเพลิง ทั้งแบบแข็งและแบบเหลวอยู่ เช่น กระสวยอวกาศ ใช้เชื้อเพลิงเผาผลาญให้เกิดแก๊สผลักดันจรวดที่รูปร่างเหมือนขวดให้พุ่งไป ข้างหน้า
แต่นิยายอวกาศเจเนอเรชั่นใหม่มีการใช้ พลังงานขับด้วย อิออน (Ion Drve) กันแล้ว นั่นคือ การนำเอาอะตอมมาแยกอิเล็กตรอนออก เหลือเพียงแต่ประจุที่ไร้น้ำหนัก แล้วใช้สนามแม่เหล็กเร่งความเร็วของประจุ จากนั้นก็ปล่อยประจุความเร็วสูงนี้ออกทางท้ายจรวด ผลักให้พุ่งไปข้างหน้า ข้อได้เปรียบของพลังงานประจุได้แก่ แรงผลักดันนิ่มนวลต่างจากเชื้อเพลิงและสามารถคงความเร็วได้ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็จะมีความเร่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เร็วเท่ากับ หรือมากกว่าแสงได้
และแล้วในขณะนี้ องค์การนาซา (NASA) ก็กำลังส่งยานอวกาศ "สนธยา (Dawn)" ซึ่งใช้พลังงานอิออนไดร์ฟไปสำรวจใกล้ๆ "เวสต้า (Vesta)" กับ "ซีเรส (Ceres)" สองเทหวัตถุขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม เข็มขัดสะเก็ดดาว (Asteroid Belt) ภายในระบบสุริยจักรวาลของเราอยู่
เมื่อโลกเราบุกรุกเข้าไปใน ยานอวกาศของจักรวาลอื่น ก็เป็นไปได้ที่มนุษย์ต่างดาวจะรุกรานโลกของเราเช่นกัน เริ่มจากในนิยายเรื่อง The War of the World ของ เอช.จี.เวลส์ (H.G. Wells) จากนั้นก็ปรากฏมนุษย์ต่างดาวในรูปแบบแปลกๆต่างไปจากลักษณะของมนุษย์เช่นใน หนังเรื่อง "District 9" "E.T." "Alien" "Predator" ฯลฯ
ทว่า เราก็ยังไม่รู้แน่ชัด ในเอกภพนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นเหมือนโลกเราหรือไม่ แม้จะมีผู้ทดลองส่งสัญญาณคลื่นวิทยุและอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ
...
ไอ้แมลงวัน.
ออกไปนอกห้วงอวกาศตั้งแต่ปี 1920 เผื่อว่ามีมนุษย์ ต่างดาวรับสัญญาณได้ และแจ้งกลับมาให้ทราบ แต่ป่านฉะนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววสัญญาณตอบรับใดๆกลับมา
และหากว่าโลกของเราถูก บุกรุก เราจะมีอาวุธพิเศษใดๆไว้รับมือกับพวกเขาได้หรือไม่ เพราะในนิยายไซ-ไฟส่วนใหญ่นั้น อาวุธที่ใช้ต่อสู้กันก็มักเป็นอาวุธใช้มือ เช่นว่า "ดาบเรืองแสง" ของ ลุค สกายวอล์คเกอร์ ใน "Star War" หรือ "ปืนเลเซอร์" ในหนังวิทยาศาสตร์ หลายเรื่อง หรืออุปกรณ์ทำตัวให้ชาเคลื่อนไหวไม่ได้ เช่น "Phaser" ในเรื่อง "Star Trek" และ "Staple Gun" ในเรื่อง "Space 1999"
ทำให้กองทัพสหรัฐฯ คิดอ่านพัฒนาอาวุธที่ ทำให้แค่จังงัง...แต่ไม่ถึงตายขึ้นมาบ้าง เช่น ใช้คลื่นไมโครเวฟ ใช้กระแสไฟฟ้า ฯลฯ ก็เป็นการเลียนแบบอย่างอาวุธที่ใช้ในนิยายไซ-ไฟนั่นเอง
พื้นผิวของดาวอังคาร.
ยังมีอีกหลายเรื่องครับ อาทิ การใช้ไทม์แมชีนหมุนเวลาหาอดีตนั้น เมื่อย้อนกลับไปอดีตได้แล้วและสร้างเหตุการณ์บางอย่าง เช่น สังหารทวดของตนเอง แล้วทีนี้ตัวของเราที่เกิดมาแล้วล่ะจะยังมีโอกาสมีตัวตน (จนเดินย้อนยุค) อีกหรือเปล่า ความลับในเรื่องยังเป็นที่ค้างคาใจใครหลายคน
ถ้าสนใจก็ ติดตามรายละเอียดได้ในโทรทัศน์ทรูวิชั่น ช่อง HISTORY (18) เรื่อง "The Universe : Science Fiction, Sience Fact" ตามวันและเวลาที่ระบุในวารสาร PREMIER ประจำเดือนสิงหาคมนี้ได้ครับ.
ทีมงานต่วย'ตูน