ร้อนนี้อย่าปล่อยให้บิกินีเฉาคาตู้ งัดออกมาแล้วไปดำดิ่งสู่ “เกาะกูด” เกาะใหญ่เป็นอันดับ 4 ของไทย ที่ได้สมญานามว่าเป็น “อันดามันแห่งทะเลตะวันออก” และยังเป็นสถานที่ยอดนิยมของชาวต่างชาติแถบสแกนดิเนเวียอีกด้วย...

ก่อนสตาร์ตทริปนี้ ขอบอกก่อนเลยว่าไปกันแบบสวยๆ ไม่พกผู้ชายนะจ๊ะ ถึงจะมีไม่มีเราก็เท โนสนโนแคร์ แต่ถ้าเพื่อนสาวเกี่ยวเอาไปด้วยได้ (อิอิ) นั่นก็เพราะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกลุ่มพันธมิตร จัดทริปโครงการ "ผู้หญิงเที่ยวไทย 2017” เพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวผู้หญิงเกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งจริงๆ เมืองไทยสวยมาก และมีหลายมุมที่สาวๆ ควรไปเช็กอินชนิดที่พลาดแล้วจะเสียใจ

งานนี้เราก็นัดเกิร์ลแก๊งกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ แลนดิ้งลงสนามบินตราดแต่เช้า แต่ว่าใครจะเลือกเดินทางด้วยรถก็ได้ตามสะดวก เมื่อถึง จ.ตราด แล้ว ก็มุ่งไปยัง “ท่าเรือแหลมศอก” ท่าเรือหลักที่จะข้ามไปเกาะกูด ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. เราก็ถึงจุดหมาย ซึ่งครั้งนี้เราเลือกลงที่ “อ่าวบางเบ้า” จุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดบนเกาะกูด

...

เข้าที่พักเก็บข้าวเก็บของแล้วก็อย่ารอช้า เปิดรูทแรกกันที่ “หมู่บ้านประมงอ่าวใหญ่” หมู่บ้านเล็กๆ 200 ครัวเรือน สถานที่ที่เราจะแวะกินอาหารทะเลสดๆ กัน สดชนิดที่เรือประมงมาเกยรอกันหน้าร้านเลย แต่ก่อนจะอิ่มท้อง ขอแวะกราบไหว้ “ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” ซะก่อน สถานที่ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านและชาวประมง ก่อนออกเรือหรือเดินทาง ทุกคนจะแวะมากราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล

เดินเข้ามาในหมู่บ้านก็จะได้เจอกับบ้านคน ร้านค้า ร้านอาหาร ถูกใจเจ้าไหนก็เลี้ยวเข้าได้เลย (ส่วนใหญ่อร่อยทุกร้าน) มีกุ้ง หอย ปู ปลา หลายสายพันธุ์ให้เลือก ชอบตัวไหนเมนูไหนแค่ชี้บอก แม่ครัวรังสรรค์ออกมาได้หมด รสชาติเลิศแบบภัตตาคาร 5 ดาว บรรยากาศก็ดีลมเย็นทั้งวัน ซึ่งหมู่บ้านนี้มีสตอรี่ความเป็นมาคือผู้ที่มาตั้งรกรากเป็นชาวเวียดนามอพยพหนีสงครามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ก็ยังคงวิถีชีวิตเดิมๆ กันอยู่ ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนพูดไทยไม่ได้ ยังคงใช้ภาษาของตัวเอง แต่เด็กรุ่นใหม่ใช้ภาษาไทยกันหมดแล้ว ภาษาอังกฤษก็คล่องเชียวแหละ

...


หลังจากโซ้ยกันมาเต็มเหนี่ยวก็ต้องขอชิลหน่อย ขอนอนชมทะเล ฟังเสียงคลื่น จิบน้ำมะพร้าว พอแดดร่มลมตกหน่อยก็พากันไปพายเรือคายัคหน้าที่พักชิลๆ แถมมีเจ้าปลาเล็กปลาน้อยว่ายตามเป็นเพื่อนเราด้วย นี่ยังไม่ทันไปถึงที่ดำน้ำเลยนะ ก็มีปลาสวยๆ ให้ดูแล้ว

...

รูทต่อมาเราขึ้นสปีดโบ๊ตแต่เช้า กันแดดจัดหนักๆ บิกินีใส่ให้พร้อม แล้ว Let’s go “หมู่เกาะรัง” กันเลย เพียง 45 นาทีจากฝั่ง ก็จะถึงสถานที่ดำน้ำตื้นที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งบริเวณที่เราจะดำน้ำกันคือ “เกาะยักษ์ใหญ่” และ “เกาะยักษ์เล็ก” แม้แต่คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็ยังสัมผัสความน่าประทับใจได้ เพียงใส่เสื้อชูชีพและฝึกใส่สน็อกเกิลจากผู้เชี่ยวชาญ แค่แป๊บเดียวก็ได้ลงไปดูปะการังสวยๆ แล้ว (ส่วนใหญ่จะมีคนว่ายนำให้เราเกาะ) แต่ใครที่โปรๆ ก็ว่ายเองได้เลย เพราะบริเวณนี้คลื่นลมไม่แรง โดยรอบๆ นี้จะเต็มไปด้วยปะการังเขากวาง หอยมือเสือ ปลิงทะเลสีสวย ปลาสลิดหิน และปลาสีสวยหลากหลายสายพันธ์ุ

...

และอีกหนึ่งสถานที่ไฮไลต์ของเกาะสวรรค์แห่งนี้ก็คือ “น้ำตกคลองเจ้า” น้ำตกประวัติศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสเมื่อ พ.ศ.2454 พระราชทานนามว่า “น้ำตกอนัมก๊ก” เพื่อระลึกถึงองค์เชียงลือ กษัตริย์ญวนที่เคยลี้ภัยมาที่เกาะกูดในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งตรงโขดหินใหญ่ริมน้ำตกยังมีพระปรมาภิไธยย่อ “วปร” ของพระองค์จารึกไว้ด้วย และคุณสาวๆ ไม่ต้องกลัวเลยว่าหินจะบาด น้ำตกนี้หินไม่มากและไม่คม น้ำเย็นใสแม้ในยามแล้ง มีปลาตัวน้อยๆ แหวกว่ายธารามาให้เราสัมผัส แดดก็ไม่ร้อน เพราะรอบๆ บริเวณน้ำตกมีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงาให้เรานอนพักชิลๆ ได้เลย เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยมาเกาะกูดต้องเคยมาน้ำตกนี้แน่นอน

แต่สถานที่สวยๆ และความงามของเกาะกูดไม่ได้มีเพียงแค่นี้นะ หลังจากแผนหลักของเราจบลง ความสนุกที่นักเที่ยวมักทำกันก็คือขับมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานรอบเกาะ ซึ่งส่วนใหญ่บ้านพักที่เราไปจะมีให้บริการ ถนนบนเกาะนี้มีเส้นเดียวไม่ต้องกลัวหลง ขับไปก็จะได้เจอกับหาดคลองเจ้า อ่าวพร้าว อ่าวคลองหิน ฯลฯ และเขาเรือรบ สถานที่สำคัญของเกาะกูด หรือดึกๆ ใครยังไม่อยากเข้านอน ออกไปส่องไฟไดหมึกกับเรือประมงได้นะ จับปุ๊บกินปั๊บ สดจากท้องทะเลกันทีเดียวเชียว

จบทริปปิดรูทกันไป แต่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ต้องกลับมาอีกแน่นอน” เพราะสวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ ถือได้ว่าเป็นแดนสวรรค์ของผู้รักธรรมชาติความเงียบสงบ เที่ยวทีเดียวได้ทั้ง ทะเล ภูเขา และน้ำตก แถมเที่ยวได้ทั้งปี เพราะแต่ละซีซั่นของที่นี่มีเรื่องราวความประทับใจที่ต่างกันออกไป เปรียบได้กับหนังน้ำดีที่มีครบรส