หลัง “ญี่ปุ่น”...เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าในฐานะผู้แพ้สงคราม จนสามารถพลิกผันเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจยิ่งใหญ่ ให้ประชาชนสูดลมหายใจได้อย่างสันติสุข

...เป็นต้นทุนส่งเสริมให้คนในแผ่นดินออกท่องเที่ยวต่างประเทศได้ ส่วน “ไทย” ที่อาศัยภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไร้ปล่องควันมาแต่ปี 2503 จึงสบช่องทางหารายได้เข้าประเทศจากตลาดนี้

อดีตผู้สันทัดกรณีตลาดท่องเที่ยว ทัวริสต์ดินแดนซากุระ มองว่า...ญี่ปุ่นคือตลาดหลัก เทียบชั้นอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี โดยตลาดจีนยังเป็นแค่วุ้นในครรภ์มารดา

ไม่เหมือนวันนี้ที่สุดโด่งแต่ราคาพาร์...ต่ำสุด!

หงายการ์ดปี 2513 ซามูไรเที่ยวไทย 13,000 คน พอปี 2528 เพิ่มเป็น 110,000 คน และยากจะตกเป็นเหยื่อทัวร์ 0 เหรียญ เพราะกลุ่มนี้มีวินัยไม่แตกแถว กระเป๋าหนักเรื่องจับจ่าย

ปีถัดมา ททท.ถึงเปิดสำนักงานโตเกียว หลังเปิดนิวยอร์กกับ แอลเอ เพื่อทำตลาดญี่ปุ่น

ที่สำคัญหากไปเปิดพลิกข้อมูลในช่วงปี 2541-2549 จะพบว่า เลือดบูชิโดยังรักเที่ยวไทยเฉลี่ยปีละ 1.06-1.3 ล้านคน ส่งผลให้การพัฒนาตลาดหยุดนิ่งไม่ได้และต้องหาสินค้าใหม่ๆมาเพิ่มเสนอขาย

หลังปี 2547 ประเทศไทยถูกโรคซาร์สเล่นงานกับคลื่นสึนามิกระหน่ำ ตัวเลขจึงแกว่งลง 0.01% แต่ฟื้นตัวเร็ว ปี 2550 ททท.โตเกียวได้อาศัยโลกไซเบอร์แพลตฟอร์ม “โค โด โมะ” ผลิตเกมเป็นเครื่องมือทำตลาด

“ชวนคนญี่ปุ่นเล่นตามเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองไทยที่คนญี่ปุ่นสนใจ อาทิ มวยไทย อาหารไทย แล้วสะสมคะแนนชิงรางวัลแพ็กเกจเที่ยวเมืองไทย”

...

ผนวกกับเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวไทยผ่านกล่องอาหาร “เบนโตะ” มีรางวัลแจ็กพอตเที่ยวไทย และผลิตสื่อโฆษณาบนตู้รถไฟ เจ.อาร์.ด้านนอก แล่นรอบโตเกียวผ่านสายตาผู้คน 4 ล้านคู่ต่อวัน

น่าสนใจว่าปีนั้นสถิติมีแค่ 1.24 ล้านคน ลดลงจิ๊บ จิ๊บ พอปี 2555 ก็กลับทะยานขึ้นเป็น 1.37 ล้านคน...และแล้วในปี 2559 อั้ยยะ! ก็กระโจนพรวด 1.42 ล้านคน ติดอันดับ 4 รองจากญี่ปุ่นเที่ยวจีน มาเลเซีย เกาหลีใต้

ส่วนปีนี้ ททท.มั่นใจต้อง 1.7 ล้านคน โดย 10 เดือนแรกบ่งบอกแล้ว 1.48 ล้านคน ปีหน้า 60 ปีท่องเที่ยวไทยต้องได้ 1.8 ล้านคน ถ้าไม่มัวแต่นั่งเป่าสาก เพื่อขยับสู่ 2 ล้านคนปีถัดไป

เสกสรร ศรีไพรวรรณ ผอ.ททท.โตเกียว อ่านดัชนีนี้แล้ว จึงรีบทำการบ้านเพื่อเพิ่มศักยภาพตลาดอาทิตย์อุทัยเที่ยวไทย ซึ่งพบแนวทางน่าสนใจตรงวิถีประจำวันคนที่นั่นกับคนที่นี่ ดูจะร้อยเรียงเป็นรากวัฒนธรรมเฉกเช่นไผ่กอเดียวกัน

นั่นคือ...คนญี่ปุ่นนิยมกินอาหารกล่อง เรียก “โอเบนโตะ” หรือสั้นๆ “เบนโตะ” ซึ่งปัจจุบันก็ยังกินกันอยู่ ส่วนคนไทยเคยกินอาหาร “ปิ่นโต” แต่วันนี้กินในกล่องโฟมกับถุงพลาสติก

โดยดื้อรั้นไม่ยอมจับมือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม?

เสกสรร ย้ำว่า เบนโตะเป็นอาหารชนชั้นปกครองหัวเมืองสมัยเอโดะ หรือบ้างก็ว่าสมัยคามะคูระกว่า 600 ปีก่อน ที่ใช้บรรจุอาหารก่อนพกพาไปกินระหว่างเดินทางข้ามหัวเมือง

“จากนั้นถูกนำมาใช้ในครัวเรือน ให้ลูกไปกินกลางวันที่โรงเรียน สามีกินที่ทำงาน ต่อมากลายเป็นสินค้าขายตามสถานีรถไฟ หรือหากินได้บนตู้โดยสารรถไฟหัวจรวด”

ทุกวันนี้ “ญี่ปุ่น” ก็ยังใช้เบนโตะเป็นภาชนะใส่อาหารไปกินยามเดินทางท่องเที่ยว หรือปิกนิกในสวนองุ่น ไร่สตรอว์เบอร์รี และใต้ต้นแอปเปิ้ล

“เบนโตะเสริมตรรกะสอนให้รู้จักความพอเพียง ด้วยการบรรจุอาหารตามขนาดช่องให้พอดีไม่ล้นออกมาและมีวินัยในการกิน เป็นปรัชญาที่สอนกันมานานเท่าอายุกำเนิดเบนโตะ”

“ปิ่นโตไทย”...เกิดในยุคต้นรัตนโกสินทร์ เรียกเพี้ยนมาจากเบนโตะ ใช้วางอาหารเป็นชั้นๆ ผูกเป็นเถา ขณะเบนโตะแบ่งเป็นช่องไว้ภายในและแต่เดิมปิ่นโตเป็นปัจจัยถวายพระ ต่อมาจัดเป็นอาหารกลางวันเหมือนเบนโตะและบ้างเอาไปแชร์กินร่วมวงกับเพื่อน

...

การทำตลาดชวนคนญี่ปุ่นย้อนยุค “ทัวร์ปิ่นโต” เสกสรร มองว่า ทัศนคติคนชาตินี้ส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับแก่นวัฒนธรรมดั้งเดิมถึงจะมิใช่มรดกตนเองก็ตาม จึงน่ามีความเป็นไปได้

การเปิดตัวทัวร์วันวานจึงขับเคลื่อนทันที ด้วยการเชิญสื่อ ออนไลน์สายท่องเที่ยวชื่อดัง 5 รายจากโตเกียว มาทดสอบสินค้าท่องเที่ยวตามกลไกตลาด เริ่มจากการจับจ่ายพืชผักที่ตลาดสด

ก่อนนำเข้าสตูดิโอฝึกทำสะเต๊ะไก่ ส้มตำไทย ผัดกะเพราหมู และข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งล้วนเป็นอาหารที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบเป็นทุน เสร็จแล้วบรรจุใส่ปิ่นโตนำไปกินระหว่างท่องเที่ยว

จากนั้นไปทดลองนวดสปาแผนไทยด้วยน้ำมันสมุนไพรกลิ่นกุหลาบ แล้วไปฝึกท่าฤาษีดัดตน เช่น ท่าเทพพนม เต้นโขน ชูหัตถ์วาดหลัง ที่สถาบันแพทย์แผนไทยภายในวัดโพธิ์

มายูมิ เออิกาวา นักเขียนเรื่องท่องเที่ยวจากวอทช์ ทราเวล สื่อออนไลน์ชื่อดังญี่ปุ่น เผยว่า “เคยมาไทยหลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาสเรียนเรื่องครัวไทย แบบต้องไปจ่ายตลาดก่อนนำมาปรุง

เพิ่งรู้ด้วยว่า...สมุนไพรไทยบางชนิดใช้ทำอาหารได้ บางชนิดมีคุณประโยชน์กับการนวดสปา หรือการฝึกท่าฤาษีดัดตนที่ส่งผลดีต่อสุขภาพและยังช่วยบำบัดโรคภัยได้อีกด้วย”

...

มายูมิยืนยันประสบการณ์นี้ดีมีเสน่ห์ เหมาะไปชวนสตรีญี่ปุ่นมาเที่ยวไทยแนวนี้

หลังการทดสอบสินค้าในไทย การทำตลาดทัวร์ปิ่นโตอีกบริบท ก็เดินทางมาถึงโหมดจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายกลางสถานีรถไฟซัปโปโร จ.ฮ็อกไกโด ขณะคนพลุกพล่าน 90,000 คนต่อวัน

วันนั้น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีไทย ไปร่วมงานกับผู้ร่วมเรียนรู้ศิลปะการเขียนลายบนปิ่นโต 200 ราย พร้อมมีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อโทรทัศน์ จ.ฮ็อกไกโด ต่อผู้รับชมรายการ 5 ล้านคนทุกวัน

ล่าสุด...ทีมงาน “พรอนโต คาเฟ่” ซึ่งมีสาขาทั่วญี่ปุ่น 260 แห่ง มาฝึกศิลปะการทำอาหารไทย ไปเป็นต้นแบบให้คนญี่ปุ่นกิน เท่ากับเป็นการช่วยเผยแพร่เมืองไทยผ่านปิ่นโตไทย

เสกสรรกล่าวอีกว่า งานเทศกาลหิมะซัปโปโร กลาง ก.พ.ปีหน้า จะนำรูปแบบทัวร์ปิ่นโตนี่แหละไปปลุกตลาดเที่ยวไทยกับคน 2.6 ล้านคนในงาน เชื่อด้วยว่าช่วงโอลิมปิกกลางปีหน้าคืออีกโอกาสสำคัญ

คาดหวังกันว่า...จะมี “ซามูไร” บางคนเลือกทิ้งถิ่นมาหิ้วปิ่นโตเที่ยวไทย หนีชาวโลกที่แห่มากระจุกตัวที่นั่น.