ฟัง ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูนัก สำหรับ...จีแหม “อาเจียง” เมียงสุรินทร์ แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆก็คือ ไปดูงานช้างที่สุรินทร์กันไหม

ขึ้นต้นด้วยภาษาส่วยหรือกูยแบบนี้...ก็เพราะคนเลี้ยงช้างที่สุรินทร์ส่วนใหญ่จะเป็นชาวส่วย หรือกูย ชาติพันธุ์กลุ่มเล็กๆที่กระจัดกระจายอยู่ตามลุ่มแม่น้ำมูลและลาวตอนใต้ มีภูมิลำเนาปะปนกับพวกเขมรในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ฯลฯ

และในระหว่างวันที่ 7-18 พ.ย.นี้ สุรินทร์จะมีงานใหญ่ คือ งานช้างสุรินทร์ ซึ่งจัดเป็นปีที่ 59 แล้ว

มีโอกาสเดินทางไปสุรินทร์เพื่อคุยกับ หมะ อาเจียง ชื่อตามภาษาส่วยที่แปลว่า หมอช้างหรือควาญช้าง แต่ถ้าเป็นสุรินทร์จะเรียกควาญช้างว่า มอ ตำแร็ย แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไร พวกเขาเหล่านี้ละ...ที่รู้เรื่องช้างดีที่สุด

ธมลวรรณ เจริญวงศ์พิสิฐ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานสุรินทร์ เล่าให้ฟังว่า สุรินทร์น่าจะเป็นจังหวัดเดียวที่ความรักและความผูกพันระหว่างคนกับช้างมีความเหนียวแน่น แข็งแรง และชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะที่บ้านตากลาง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวส่วย ที่มีความชำนาญในการคล้องช้างป่า ฝึกหัดช้าง และเลี้ยงช้าง สมัยก่อนพวกเขาจะใช้การเดินเท้านับสิบนับร้อยกิโลเมตร เพื่อไปคล้องช้างบริเวณชายแดนต่อเขตประเทศกัมพูชา ซึ่งในระยะหลังแม้จะไม่ได้ออกไปคล้องช้างแล้ว แต่ชาวบ้านที่บ้านตากลาง ก็ยังคงเลี้ยงช้าง และทำหน้าที่ฝึกช้างเพื่อร่วมแสดงในงานช้างของจังหวัดสุรินทร์แทบทุกปี

...

เราเดินทางถึงศูนย์คชศึกษา หรือหมู่บ้านช้างบ้านตากลางในช่วงบ่ายๆ ของวัน หมะ อาเจียง หรือบรรดาควาญช้างกำลังฝึกช้างของพวกเขาอย่างขะมักเขม้น

พี่หน่อง...ผอ.ททท.สำนักงานสุรินทร์ บอกว่า ที่หมู่บ้านช้างแห่งนี้มีช้างประมาณ 200 เชือก อยู่รวมกันกับ หมะ อาเจียง หรือ ควาญช้าง เรียกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน พูดได้เลยว่า ที่นี่...คือ ครอบครัวช้างหรือหมู่บ้านช้างเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในโลก!!

นอกจากจะได้ชมความน่ารักแสนรู้ของช้างเลี้ยงที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี ช้างที่หมู่บ้านช้างตากลาง เป็นช้างที่น่ารัก เข้ากับคนง่าย ที่สำคัญคือ ช้างกับคนที่นี่นอนด้วยกัน กินด้วยกัน เสมือนครอบครัวเดียวกัน เรียกว่า นอกจากมาดูช้างแล้ว ยังได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวส่วยที่เป็นคนเลี้ยงช้าง ซึ่งมาจากหลายหมู่บ้านทั้งบ้านกะโพ บ้านตากลาง และบ้านอื่นที่อยู่ไม่ไกลออกไปนักด้วย

ในการเลี้ยงช้าง หมะ อาเจียง หรือหมอช้าง จะมีพิธีการต่างๆในการเรียกขวัญช้าง หรือแม้แต่กำราบช้างที่ดื้อ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาเฉพาะของคนที่อยู่และผูกพันกับช้างเท่านั้นที่จะสามารถทำได้

ห่างออกไปจากหมู่บ้านช้างราว 3 กิโลเมตร เป็นจุดที่ควาญช้างนิยมนำช้างมาอาบน้ำในช่วงเย็นๆ เรียกว่า วังทะลุ...ซึ่งเป็นบริเวณที่แม่น้ำมูลและลำน้ำชี ไหลมาบรรจบกันก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อุบลราชธานี เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกแห่ง

...

ก่อนกลับเข้าที่พัก ททท.สุรินทร์พาแวะชม ทุ่งแซตอม หรือที่ราบลุ่มริมแม่น้ำชี ที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก ชาวบ้านที่นี่ยังคงทำการเกษตรแบบดั้งเดิม และทั้งหมดเป็นเกษตรอินทรีย์ที่ปลอดภัยทั้งคนทำและคนกิน

คำว่า...แซตอม เป็นภาษาชาวกูย แปลว่า นาที่ตั้งอยู่ริมห้วย นอกจากมีนาสวยๆให้ดูแล้ว ที่นี่ยังมี แซตอม ออร์แกนิก ฟาร์ม วิสาหกิจของชุมชนที่ตั้งขึ้นเพื่อจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรที่ได้จากทุ่งแซตอม ไม่ว่าจะเป็น ข้าวกล้องมะลินิล ข้าวกล้องผกาอำปึล ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ข้าว กล้องไรซ์เบอร์รี ข้าวไตรจัสมิน ข้าว กข 43 และ มะลิโกเมนสุรินทร์

“อยากเชิญชวนให้มาเที่ยวงานช้างสุรินทร์กันให้มากๆครับ ปีนี้เราจัดยิ่งใหญ่ไม่แพ้ทุกๆปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเลี้ยงโต๊ะจีนช้าง ที่ต้องบอกว่า เป็นงานเลี้ยงอาหารช้างที่ยิ่งใหญ่ของโลกเลยทีเดียว” ไกรสร กอง-ฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวเชิญชวนพร้อมกับบอกว่า ไฮไลต์หลักๆ ของงานช้างปีนี้ น่าจะเป็นวันที่ 15-17 พ.ย.2562 ซึ่งเริ่มตั้งแต่เช้า คืองานต้อนรับและเลี้ยงอาหารช้าง บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง เป็นการจัดโต๊ะจีนความยาวมากกว่า 400 เมตร เพื่อเลี้ยงอาหารช้าง พอตกค่ำประมาณสองทุ่ม ก็จะเป็นการแสดงแสง สี เสียง บริเวณปราสาทศีขรภูมิ อ.ศีขรภูมิ ต่อด้วยการแสดงช้าง ที่สนามแสดงช้างจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 9 ฉาก หรือ 9 องก์ ในวันที่ 16-17 พ.ย.

ก่อนกลับจากสุรินทร์ มีโอกาสแวะเวียนไปเที่ยวแถวอำเภอเขวาสินรินทร์ เครื่องเงินที่นี่สวยใช้ได้ทีเดียว ใครที่อยากได้เครื่องเงินลายโบราณเก๋ๆ แนะนำเลยที่หมู่บ้านเครื่องเงินเขวาสินรินทร์

อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ถ้าเบื่อดอยแถวทางเหนือก็ลองมาเที่ยวอีสานดูบ้าง เที่ยวแบบ Cool อีหลี...และถ้าจะให้ดีก็ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมเก็บเกี่ยวความม่วนคักๆไว้

ฮักอีสานนานๆเด้อ.....ค่า!!!!!