บ่ได้ขี้ตั๋วจริงๆ กุ้งนับแสนๆตัวมันพากันเดินขบวนพาเหรด เหตุเกิดที่แก่งลำดวน อ.น้ำยืน อุบลราชธานี นี่เอง ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาก็คงไม่เชื่อ
เขาเล่าว่า ทุกๆปีในราวเดือนสิงหาคมและกันยายน กุ้งนับแสนจะพากันเดินขบวนทวนกระแสน้ำเพื่อกลับขึ้นไปยังเทือกเขาพนมดงรัก
วันนั้นที่ลานพันรู เราจึงเห็นกุ้งทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ พากันเดินเป็นแถวยาวขึ้นไปวางไข่ที่ต้นน้ำอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อาจจะบอกได้ว่าเป็นที่เดียวในโลก

ข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บอกว่า ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายน ผืนป่าสมบูรณ์ปลายล่างสุดของภาคอีสานในเขตอำเภอน้ำยืน อุบลราชธานี ซึ่งอยู่ใกล้รอยต่อเขตแดน 3 ประเทศ คือ ไทย ลาวและกัมพูชา หรือที่รู้จักกันดีในนาม “สามเหลี่ยมมรกต” จะมีปรากฏการณ์ที่แสนมหัศจรรย์เมื่อบรรดากุ้งฝอยนับล้านๆตัวต่างพากันพร้อมใจเดินพาเหรด ผ่านลานหินเลียบแก่งน้ำ และฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวมุ่งหน้าสู่ยอดเขาสูงบนเทือกเขาพนมดงรักเพื่อวางไข่และสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ในช่วงที่ผ่านแก่งหิน กุ้งจะหลบกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากขึ้นมาเดินบนหิน เราจึงสามารถเห็นขบวนกุ้งเป็นแนวยาวโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนประมาณหนึ่งทุ่มไปจนถึงตีห้า
...
สำหรับ แก่งลำดวน หรือ น้ำตกแก่งลำดวน เป็นน้ำตกที่ไหลลงมาตามแก่งหินเป็นส่วนหนึ่งของลำน้ำลำโดมใหญ่ บรรยากาศโดยรอบของที่นี่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด โดยเฉพาะต้นลำดวนที่เป็นที่มาของชื่อแก่ง ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาชมความสวยงามของแก่งหินธรรมชาติ หรืออาจจะลงเล่นน้ำท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นสบายๆ นอกเหนือจากการมาชมปรากฏ– การณ์กุ้งเดินขบวนในเดือน ส.ค. และ ก.ย.แล้ว

โปรแกรมเที่ยวอุบลฯคราวนี้ออกแนวธรรมชาติล้วนๆ ในช่วงกลางคืนไปดูกุ้งที่แก่งลำดวน พอฟ้าสางก็เปลี่ยนมาชมดอกไม้กันที่ ภูอานม้า...ป่าดง-นาทาม ที่ว่ากันว่าเป็น แอ่งมหานทีแห่งบรรพกาล ว่ากันว่าหลายล้านปีมาแล้วที่อีสานเคยเป็นแม่น้ำใหญ่และต่อมาก็ถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆจนกลายมาเป็นภูเขาหิน ซึ่งถ้าจะบอกว่าเกือบทั้งภาคอีสานไปจนจดลาวใต้ เลยไปถึงเวียดนามใต้ ก็มีลักษณะแก่งหินแบบนี้อยู่หลายแห่ง เฉพาะที่อุบลราชธานี ก็มีทั้ง ภูจันทร์แดง ภูอานม้า สร้อยสวรรค์ ผาแต้ม แก่งตะนะ เหวสินไชย ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งศึกษาทางธรณีวิทยาที่สำคัญทั้งสิ้น
การท่องเที่ยวในเส้นทางธรรมชาติแถบนี้ของอุบลราชธานีทำให้ได้ความรู้หลายอย่าง โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของหินธรรมชาติ ที่หลายคนบอกว่า นี่ละ... สโตนเฮนท์ของจริง

อย่าง เสาเฉลียง หรือ เอิร์ธ พิลลาร์ ซึ่งเป็นเสาหินทรายรูปทรงคล้ายดอกเห็ดบานกระจายอยู่ตามลานหินในอุทยานแห่งชาติผาแต้ม อ.โขงเจียม ถือว่าเป็นเสาหินยุคจูราสสิก ที่เกิดจากน้ำและกรวดที่ลมพัดพามากัดเซาะต่อเนื่องเป็นเวลาหลายล้านปี... คนไทยพากันบินไปดูเสาหินที่อังกฤษ เอาเข้าจริงๆ เสาหินอายุล้านปีของไทยนี่ละมหัศจรรย์สุดๆแล้ว และนอกจากเสาหิน ยังมีลานหินที่มีลักษณะเป็นริ้วหลุมที่เกิดจากแผ่นหินที่แยกจากกันที่ใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงนับล้านปี...เลยทีเดียว
มีคนเคยสำรวจและวิเคราะห์ชั้นหินของเสาหินและแผ่นหินที่นี่ และพบว่า มีส่วนประกอบของหินหลายชนิดทั้ง เม็ดควอตซ์ เม็ดหินภูเขาไฟ และ เม็ดหินเชิร์ต ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของอุบลราชธานีและดินแดนอีสานใต้ในอดีตได้เป็นอย่างดี

...
เสร็จจากดูหินก็มาดูดอกไม้กันต่อ ทุ่งดอกไม้ป่าดงนาทาม ถือเป็นทุ่งดอกไม้ที่สวยงามมากๆแห่งหนึ่งของเมืองอุบลฯ โดยเฉพาะช่วงปลายเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน บรรดาดอกไม้หลากสีต่างแข่งกันบานอวดโฉม ขึ้นมาบนลานหิน ทั้งดอกหญ้า ดอกไม้ป่า และดอกไม้ชื่อเก๋ไก๋อย่าง หยาดน้ำค้าง แดงอุบล เอนอ้า เหลืองพิสมร และทุ่งดอกไม้ที่ได้ชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 อย่าง ดุสิตา สร้อยสุวรรณา มณีเทวา ทิพเกสร สรัสจันทร เรียกว่าเหมือนเดินอยู่ในป่าดอกไม้อันเต็มไปด้วยความงดงามทั้งรูปทั้งนาม นอกจากพรรณไม้ป่าแล้วยังมีน้ำตกขนาดเล็กและขนาดกลางอยู่หลายแห่ง อย่างเช่น น้ำตกสร้อยสวรรค์ ซึ่งจะมีสายน้ำตกให้เห็นเป็นลำสายงดงามในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.ของทุกปี
เสร็จจากเที่ยวท่องล่องป่าหิน ทุ่งดอกไม้ ก็ได้เวลาขึ้นสู่ ผาชะนะได เพื่อเตรียมพร้อมดูพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยาม คืนนี้พวกเรากางเต็นท์นอนกันบนลานหินของผาชะนะได ที่กว่าจะขึ้นกันมาได้ก็ทุลักทุเลพอควร
เสียงนาฬิกาปลุกราวตีสี่ ทุกคนต่างลุกขึ้นทำภารกิจส่วนตัว ก่อนจะไปรวมตัวกันที่หน้าผาบนจุดสูงสุดของผาชะนะได ประมาณตีห้าสามสิบเจ็ดนาที พระอาทิตย์ดวงกลมโตค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้าเบื้องหน้าที่ด้านล่างเป็นลำน้ำโขง มีทะเลหมอกอันสวยงามคั่นกลาง
และเมื่ออาทิตย์ฉายแสงจ้า ผู้คนก็พากันกลับลงจากผาชะนะได อากาศจากเย็นเริ่มกลายเป็นร้อน พอถึงตัวเมือง เลยต้องแวะเช็กอินกันซักนิดหน่อยที่ร้านกาแฟกลางทุ่งนาสุดชิค ด้วยอาคารลอฟต์เล็กท่ามกลางกลิ่นโคลนสาบควายอย่าง “มา นา เด้อ” ที่ต้องบอกว่า วันนี้ใครมาอุบลฯแล้วไม่มาเช็กอินที่นี่ถือว่าเชย...
มาอุบลราชธานีคราวนี้ นอกจากจะเห็นวิถีง่ายๆแต่งดงามแล้ว ยังได้รู้ว่า เมืองแห่งอารยธรรมอีสานแห่งนี้เต็มไปด้วยมหัศจรรย์ธรรมชาติ ที่ต้องบอกว่า มายลอุบลฯสักครั้ง...มีพลังไปอีกสิบปี เด้อค่า....!!!!