หากเราอยากไปสโลว์ไลฟ์ ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ ขอแนะนำหนึ่งสถานที่ที่คุณต้องไป เชื่อสิ...ว่าฟีลมันได้ อารมณ์มันพาไป ความชิลที่หาจากที่ไหนไม่ได้ นอกจากที่นี่อำเภอ "เชียงคำ" จังหวัดพะเยา ที่สุดของวัฒนธรรม ที่สุดของประเพณี ที่บ่มเพาะสั่งสมมาอย่างยาวนาน หลายที่อาจเลือนราง แต่ถ้าเป็นที่นี่แล้ว ความเป็น "เชียงคำ" ยังบ่งบอกทุกสิ่งในอดีตได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะเรื่องราวของคน "ไทลื้อ"

วันนี้เราจะพาย้อนอดีตไปรู้จักคนไทลื้อ รากเหง้าของวัฒนธรรมและคนเชียงคำ หลายคนอาจบอกว่า ต้องนั่งไทม์แมชชีน แต่ถ้าคุณได้ไปที่นี่...จบเลย!

เล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่า "เชียงคำ" อำเภอหนึ่งของจังหวัดพะเยา ไม่ใกล้ไม่ไกลกรุงเทพฯ ถ้านั่งเครื่องไปลงเชียงรายนะ (ฮ่าๆ) คือที่นี่...ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหนึ่ง ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก กับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม นวัตวิถี ยิ่งชุมชนที่เหนียวแน่นเป็นปึกแผ่นแล้ว แนะนำต้องมา!! เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง

ประวัติ"ไทลื้อ"

...

เรามาเริ่มกันที่ประวัติ "ไทลื้อ" เมื่อปลายรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 4 ชาวลื้อสิบสองพันนา (หรือที่เราคุ้นหู...สิบสองปันนา) ได้อพยพมาอยู่ในล้านนาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มชาวไทลื้อจากพันนาเมืองพง จึงมาตั้งหลักแหล่งในเชียงคำเป็นจำนวนมาก ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และเชียงคำนี้ยังถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารที่สำคัญ ทำให้เชียงคำกลายเป็นหัวเมืองสำคัญตั้งแต่นั้นมา

คนไทลื้อในเชียงคำ

เรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับ "คนไทลื้อ" มีอยู่มากมาย ซ่อนในชาวบ้านในนี้ คือ บ้านธาตุสบแวน หมู่ที่ 1 บ้านธาตุ หมู่ที่ 2 บ้านหย่วน หมู่ที่ 3 และบ้านมาง หมู่ที่ 4 ของตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จึงได้รวมตัวกันขึ้น เพื่อจัดตั้ง "ชุมชนวัฒนธรรมไทลื้อ" เพื่ออนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของชาวไทลื้อ ที่สืบทอดมาแต่ครั้งที่ยังอาศัยอยู่ในสิบสองพันนาต่อไป

"วัด" ศูนย์รวมศรัทธาและแหล่งท่องเที่ยว

คนไทลื้อ นับถือศาสนาพุทธ และถือว่าวัดเป็นศูนย์รวมของจิตใจ และของหมู่บ้าน ชุมชนจึงได้ร่วมพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์การศึกษา และแหล่งท่องเที่ยวของหมู่บ้านและชาวไทลื้อไปด้วย

เราจึงขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอเชียงคำ ถ้าได้ไปครบ รับรองว่าคุณจะต้องอิ่มเอมใจ ได้ไหว้พระทำบุญ กินอาหารอร่อย เคล้าวัฒนธรรม บรรยายไม่ถูก ความรู้สึกหลังได้สัมผัสด้วยตัวเอง คือมันมีอะไรมากกว่าที่กล่าวแน่นอน สำคัญ...นักข่าวท่องเที่ยวถึงกับกระเป๋าแหกไปหลายคน ได้ของดีในราคาย่อมเยา เท่าไรก็ยอมจ่ายจ้า (แอบขำ)

5 ที่เที่ยวในอำเภอเชียงคำ

1. วัดพระธาตุสบแวน

...

...

...

วัดพระธาตุสบแวนแห่งนี้มีความสำคัญ คือ การเป็นที่ประดิษฐานองค์พระธาตุเจดีย์ที่มีความเก่าแก่มาก โดยสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุราว 800 ปี เลยทีเดียว ภายในองค์พระธาตุได้บรรจุเส้นพระเกศา และกระดูกส่วนคางของพระพุทธเจ้าไว้ อย่างไรก็ตามแม้ผ่านการบูรณะมาหลายต่อหลายครั้ง แต่องค์พระธาตุก็ยังคงได้รับการรักษาศิลปะตามแบบล้านนาไทยไว้ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ บริเวณภายในวัด ยังมี "หอประวัติไทลื้อ" ซึ่งเป็นสถานที่เล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของชาวไทลื้อ ที่อพยพย้ายถิ่นฐานจากสิบสองปันนาสู่ประเทศไทย หากเดินไล่เรียงตั้งแต่ภาพแรก เราจะได้เห็นวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าได้ที่นี่

สำคัญที่สุด อย่าลืมแวะไปดู "ต้นจามจุรี" ที่โชว์ทรงพุ่มงดงามน่าประทับใจอยู่ในรั้วโรงเรียน เรียกได้ว่า ที่สุดในประเทศไทยต้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ สวย งาม ใหญ่โตจริงๆ 

2. เฮินป้ามาลี

ล้มละลายกันเลยจ้า...บรรดานักข่าวนักสะสม คนเล่นผ้า หรือไม่เล่นก็ตาม เพราะที่นี่มีแต่ของดีมีคุณภาพ และราคาไม่แพง สำคัญคือ...อะไรก็น่าซื้อไปหมด ยิ่งเราได้เรียนรู้วิถีการย้อมผ้า แบบไทลื้อ ที่เลือกใช้สีจากธรรมชาติมาดัดแปลงให้เป็นสีผ้าจากป้ามาลีแล้ว ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นยิ่งทรงคุณค่า เพราะกว่าจะได้มา ไม่ใช่ง่ายๆ นะคะคุณผู้ชม ที่นี่มีทั้งผ้าพันคอ ผ้าซิ่น กระเป๋า เสื้อ ทุกอย่างล้วนออร์แกนิกสุดๆ

ไม่เชื่อเหรอ? ลองไปเยือนถิ่นป้ามาลีกันเอง...แล้วจะรู้!

3. เฮือนไทลื้อแม่แสงดา

เรือนของคนไทลื้อ ต้องยกให้ แม่แสงดา สมฤทธิ์ ผู้หญิงวัย 89 ปี เจ้าของเฮือนลื้อ ที่ตั้งอยู่ ณ บ้านธาตุสบแวน หมู่ 2 ต.หย่วน อ.เชียงคำ จ.พะเยา เฮือนแม่แสงดามีลักษณะเป็นบ้านไทลื้อโบราณ 90% ผสมล้านนา ที่หลงเหลืออยู่เพียงหลังเดียว เฮือนแห่งนี้สร้างสมัยแม่แสงดาอายุได้ 17 ปี จนปัจจุบันนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ด้วยความตั้งใจของแม่แสงดา ที่จะเก็บรักษาและอนุรักษ์ทุกอย่างไว้ เพื่อให้เป็นที่สืบทอดของคนไทลื้อต่อไป โดยทุกวันนี้แม่แสงดาก็ยังกิน นอน และอาศัยอยู่ในเฮือนนี้เหมือนเช่นเคยด้วย 

ที่นี่มีดีที่ขันโตก เราได้รับประทานอาหารดั้งเดิมของคนไทลื้อจริงๆ บอกเลยแปลกหูแปลกตากับอาหารหลายอย่างมากๆ แต่หน้าตาและกลิ่นของอาหารก็ชวนกินไม่น้อย บางอย่างอร่อยเกินคาดด้วยซ้ำ ไล่เรียงให้ฟังกันเลยกับ "อาหารไทลื้อ"

- จอผักกาดลื้อ ที่แตกต่างจากจอผักกาดธรรมดา เพราะจอผักกาดชาวไทลื้อจะใส่กะทิ

- แกงผักกาดส้ม รสชาติดีแบบบอกไม่ถูกจริงๆ สำหรับจานนี้ รู้แต่มีหมู ที่อร่อยไม่ธรรมดา

- แกงขนมเส้นแห้ง ที่มีส่วนประกอบของขนมจีนเส้นแห้ง เส้นแห้งคือต้องเอาไปตากแดดก่อน แล้วจึงนำมาปรุงเป็นอาหาร เพื่อยืดระยะเวลาการเก็บรักษา

- แอ่งแถะ มีให้รับประทานเฉพาะที่ไทลื้อเชียงคำ ถ้าเป็นภาคอื่น เช่นภาคอีสาน จะเรียกวัตถุดิบที่นำมาปรุงว่า ใบเครือหมาน้อย สมัยก่อนหากินได้เฉพาะในป่าฤดูหนาวเท่านั้น โดยคนไทลื้อนำมาคั้นเป็นวุ้น แต่สมัยนี้เอามาปลูกที่บ้านกินได้ตลอดทุกฤดูกาล

- จินซั่มพริก คือเนื้อหมูย่างไฟ แล้วนำมาทุบหรือตำ เพื่อให้มันยุ่ยฟู จากนั้นใส่เครื่องเคียง ได้แก่ พริก ขิง ข่า คลุกผสมลงไป ได้รสชาติดีไม่น้อยเลยจานนี้

- ปลาปิ้งอบ ปลาตะเพียนที่ใส่เครื่องเคียงสมุนไพรลงในข้างในตัวปลา ก่อนจะนำไปมัด แล้วย่างไฟเพื่อให้สุก แต่ได้รสชาติดีสุดๆ บอกไม่ได้ว่าทำไมอร่อย ต้องลองไปกินเอง

- ขนมปาดลื้อ คือ ขนมหวานไทลื้อ ที่ทางภาคกลางเรียกว่า ขนมเปียกปูน แต่แตกต่างกันตรงกรรมวิธี ทำให้รสชาติแตกต่างกันไปด้วย โดยขนมจะออกรสหวานต้องกินกับข้าวแคบ คล้ายๆ ข้าวเกรียบที่มีรสเค็ม แต่พอกินด้วยกัน รสชาติจะตัดกันอย่างลงตัว แม่แสงดาบอกว่า ขนมสองอย่างนี้ เค้าเรียก...เป็นชู้กัน

4. ศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อวัดหย่วน 

ที่นี่ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน และคนที่อยากรู้เรื่องราวของคนไทลื้อต้องแวะมา เพราะที่นี่ได้รวบรวมข้อมูลและจัดแสดงเกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทลื้อไว้ และยังเป็นศูนย์ทอผ้าไทลื้อบ้านหย่วน ที่มีการสาธิตการทอผ้าไทลื้อ และยังมีการแสดงนิทรรศการผ้าไทลื้ออีกเป็นจำนวนมาก เราเองยังได้เรียนรู้การปั่นฝ้าย ผลิตเส้นด้าย ทอผ้าที่นี่อีกด้วย แค่ปั่นฝ้ายก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว แต่เราก็ทำได้...ดีใจที่สุดในชีวิต!! สำคัญคือ...อายเณรมากๆ เณรที่มาเรียนอยู่ในโรงเรียนใกล้เคียง อยู่ดีๆ ก็มาทอผ้าโชว์เฉยเลย เราได้แต่อึ้งเมื่อมองผ่าน แต่ในใจกลับรู้สึกภูมิใจแทนคนไทลื้อเล็กๆ ที่ภูมิปัญญาเหล่านี้จะติดตัวลูกหลานสืบไป

5. วัดแสนเมืองมา 

วัดนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ราว พ.ศ. 2351 โดยเจ้าผู้ครองเมืองน่าน ได้กวาดต้อนชาวไทลื้อมาจากเมืองมาง แล้วเรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่า "บ้านมาง" และได้ชักชวนชาวเมืองก่อสร้างวัดตั้งชื่อว่า "วัดมาง" ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดแสนเมืองมา" จุดเด่นของวัดอยู่ที่หลังคาวิหาร ที่สร้างขึ้นตามแบบศิลปะของไทลื้อ ผสมผสานกับศิลปะล้านนาอย่างลงตัว โดยมุงหลังคา 2 ชั้น ลดหลั่นกัน 2 ระดับนั่นเอง นอกจากนี้หลังคาประดับด้วยช่อฟ้า ซึ่งทำเป็นรูปหงส์ หรือตัวนาคคาบแก้ว พร้อมประดับประดาด้วยไม้แกะสลัก ภาพนูน ตกแต่งด้วยสีต่างๆ ดูงดงามตา

โดยบานประตูทำด้วยไม้แกะสลักทุกบาน ประตูเข้าสู่พระวิหารทำเป็นสามมุข มุขแต่ละทิศทำเป็นสัตว์ 3 ชนิด เชื่อว่าเพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองพระศาสนา ได้แก่ พญานาค เสือ และสิงห์ โดยที่รูปปั้นพญานาคจะมี "เขากวาง" ประดับด้วย อันนี้แปลกมากๆ ซึ่งแตกต่างจากวัดแบบไทลื้ออื่นๆ ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวไทลื้อ และพระประธานเป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน นอกจากนี้ภายในวัดยังมีหอพิพิธภัณฑสถานด้วย ไปเที่ยวชมและกราบพระกันจ้า

6.  วัดนันตาราม

สวยงามตระการมากๆ สำหรับวัดนี้ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับตลาดเทศบาลตำบลเชียงคำ โดยวัดนันตารามสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2468 เป็นวัดที่มีศิลปะแบบพม่า ตัววิหารสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ตกแต่งลวดลายฉลุไม้อย่างสวยงามตามส่วนประกอบต่างๆ เช่น หน้าต่าง หน้าบัน ระเบียง ภายในประดิษฐานพระเจ้าแสนแส้ว ที่สร้างด้วยไม้สัก ที่ใหญ่มากๆ เกินจะบรรยายได้ แกะสลักสวยงาม มีตัวคิวบิกและลายหลุยส์ล้อมรอบ นอกจากนี้ ภายนอกยังมีเจดีย์แบบไทใหญ่ มีพิพิธภัณฑ์ธนบัตรเก่า เครื่องใช้โบราณ ผ้าลายโบราณ และภาพวาดโบราณ เกี่ยวกับการเทศน์มหาชาติแต่ละตอนด้วย สวยงามมากๆ สำหรับวัดแห่งนี้...

เอาละ...หาวันไปยื่นพักร้อนเลย ไปสัก 2 วัน 1 คืน ก็ได้ หากไม่มีเวลามาก แนะนำให้นั่งเครื่องไปลงเชียงราย และเดินทางต่อไปทางอำเภอเชียงคำ หาที่พักที่นั่นเลย ฟินเว่อร์!!!