“ลัคเนาว์รักเรา” เปิดมาด้วยประโยคนี้หลายคนอาจจะกำลังครุ่นคิดสงสัยอยู่ว่า ‘ลัคเนาว์’ คืออะไร คำนี้มาจากไหน เราจะพาไปทำความรู้จักเมืองและเสน่ห์ของที่นี่ บอกก่อนว่าเราไปเยือนลัคเนาว์ ประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก ขอสารภาพว่า ประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่ไม่ได้อยู่ในความคิดแรกๆ ของเราว่าเมื่อเลือกที่จะไปเที่ยวต่างประเทศ  แต่เมื่อได้มีโอกาสไปแล้ว บอกตรงๆ ว่า ด้วยมนต์เสน่ห์ของชมพูทวีป เราตกหลุมรักที่นี่ และเราก็เชื่อว่าลัคเนาว์ก็รักเราไม่แพ้กัน...

...

อันดับแรก ขอเกริ่นก่อนว่า “ลัคเนาว์” เป็นเมืองเอกของรัฐอุตตรประเทศในประเทศอินเดียทางตอนเหนือ นับเป็นเมืองใหญ่และมีประชากรหนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นศูนย์กลางทางการปกครอง ศาสนา วัฒนธรรม การคมนาคม และเศรษฐกิจของภูมิภาค มีประวัติศาสตร์การก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 และมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งของการท่องเที่ยวในภาคเหนือของประเทศอินเดียเลยทีเดียว

วันแรก : ตกหลุมรักแรกพบ 'ลัคเนาว์'

วันแรกเมื่อเครื่องแลนดิ้งถึง สนามบินลัคเนาว์ ประเทศอินเดีย เราเอ๊ะ! ในใจเล็กๆ เพราะไกด์บอกว่านี่คือสนามบินนานาชาติ แต่เราก็แอบคิดว่า “เล็กกว่าสนามบินต่างจังหวัดบ้านเราอีกเนอะ” เรารอรับกระเป๋าจากสายพาน ซึ่งบอกเลยว่าคนรอกันแน่นมากเพราะสนามบินเล็กจริงๆ หลังจากนั้นเราต้องต่อแถวนำกระเป๋าไปสแกน ตรวจเข้มไปอีกค่ะคุณ! กว่าจะได้ออกจากสนามบินใช้เวลาพอสมควร ด้วยความที่คนเยอะและวุ่นวาย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาค่ะ เรารอได้ อยากตรวจอะไรก็ตรวจ ทำใจเย็นยิ้มสวยๆ คิดว่าวันนี้มาเที่ยว แค่นี้ก็แฮปปี้แล้วนะจ๊ะ

...

หลังจากนั้นเราก็นั่งรถไปยังโรงแรม ระหว่างทางที่ไปโรงแรม เราได้มีเวลาสังเกตสิ่งข้างทาง ซึ่งทำให้เรารู้ว่านี่เราอยู่อินเดียแล้วจริงๆ ทั้งการจราจรที่ขึ้นชื่อดูแล้วสุดแสนจะวุ่นวาย เสียงแตรรถ ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ดังอยู่ตลอดเวลา ย้ำว่าตลอดเวลาจริงๆ แต่นี่ก็เหมือนเป็นสเน่ห์อีกอย่างหนึ่งของที่นี่ไปแล้ว ไกด์เล่าให้เราฟังอย่างสนุกสนานว่า เรื่องของวัฒนธรรมการบีบแตรของอินเดีย มีที่มาที่ไปจริงๆ แล้วคือ เป็นเหมือนสิ่งที่เป็นมารยาท เป็นการส่งสัญญาณให้รถที่อยู่ข้างๆ ว่า ฉันอยู่นี่นะ เมื่อเราได้รู้ที่มาที่ไปของเสียงบีบแตรก็รู้สึกแอบคล้อยตามอย่างบอกไม่ถูกถึงความย้อนแย้งนี้

อยากถามว่า ใครเคยเห็นเกวียนในปี 2017 อยู่ใกล้ๆ สนามบินมั้ย? เราไม่เคยคิดว่าจะเห็นเกวียน รถม้า รถถีบ วัว สัญจรอยู่บนถนน หรือข้างทางซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตัวเมือง แต่เราก็ได้เห็นในปี 2017 แบบนี้ ทั้งยังมีคนใส่ชุดประจำชาติ นั่นก็คือชุดส่าหรี ใส่มาแล้ว 4,000 ปีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นวัฒนธรรมของประเทศอินเดียแบบดั้งเดิมที่เหนียวแน่นและสืบต่อกันเรื่อยมา

...

...

เมื่อถึงโรงแรมแล้ว กินข้าว ล้างหน้าล้างตานิดหน่อย ได้เวลาเที่ยววันแรกแล้ว อ่อ ลืมบอกว่า อากาศช่วงนั้นหนาว อุณหภูมิอยู่ที่ 2-8 องศาฯ ในเวลากลางคืน และ 10-24 องศาฯ ในตอนเช้า บอกเลยว่าประทับใจอากาศมาก (ช่วงที่ไปประมาณ 18-20 ม.ค.)

เที่ยววันแรก เราได้ไปแค่ที่เดียวเพราะกว่าจะถึงก็เย็นแล้ว เราได้เดินทางไปยังสถานที่ใกล้โรงแรม คือ 'อัมเบดการ์เมมโมเรียลพาร์ค' (Ambedkar Memorial Park) ที่นี่เหมือนเป็นสวนสาธารณะ แต่ที่นี่ไม่มีสวน ไม่มีต้นไม้ แต่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการ เรียกได้ว่าอลังการและสวยงามจริงๆ เราชอบมาก ด้วยลานกว้างประดับประดาด้วยเสาหัวช้าง ที่รอบด้านมีแต่รูปปั้นช้างอย่างสวยงาม โดยเฉพาะเวลาเปิดไฟตอนกลางคืนจะสวยมากขึ้นไปอีก ดูได้จากภาพที่เรานำมาให้ชม

วันที่ 2 : ถ่ายรูปรัว เซลฟี่ถี่ เที่ยวเยอะสนุกจนลืมเวลา

วันนี้คือวันเที่ยวจริงจัง กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แอบเม้าท์นิดนึง โดนขู่นิดๆ ก่อนมาอินเดียว่า อาหารของอินเดียอาจจะไม่ถูกปากใครหลายๆ คน ด้วยกลิ่นเครื่องเทศ แต่เราคอนเฟิร์มว่าก็ไม่ได้แย่ชนิดที่กระเดือกไม่ลงนะจ๊ะ กินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย ตบพุงหนึ่งที พร้อมออกเดินทางแล้วจ้า!

ด้วยอากาศที่หนาวในตอนเช้า ถึงขั้นมีหมอกจางๆ ทำให้อาจจะบดบังทัศนียภาพไปบ้างกับสถานที่แรก 'บาราอิมามบารา' (Bara Imambara) หรืออัครมัสยิด ศาสนสถานของชาวมุสลิมที่สร้างด้วยศิลปะผสมผสานระหว่างฮินดูกับมุสลิม มีห้องโถงท้องพระโรงขนาดใหญ่ไร้เสาค้ำ มีลูกเล่นในการก่อสร้างที่ใช้แสงสว่างธรรมชาติตามช่องหลืบกำแพง จุดสังเกตการณ์จากภายในที่มองเห็นถึงหน้าประตูทางเข้าใหญ่โดย คนนอกมองไม่เห็น มีทางเดินเป็นเขาวงกตภายในเพื่อป้องกันการบุกรุกถึงด้านในอาคาร มีมัสยิดขนาดใหญ่อยู่ใกล้เคียง

นอกจากนั้นยังมี 'มัสยิดอัสฟี' (Asfi Mosque) มัสยิดโบราณที่ตั้งอยู่ในเขตเดียวกับบาราอิมามบารา โดดเด่นด้วยหอระฆังแฝด 2 หอสูงเด่น มีโดมบนยอดอาคารมัสยิด 3 โดม โดยมัสยิดแห่งนี้ตั้งอยู่บนแท่นขั้นบันไดสูง เวลาฝนตกแล้วน้ำจะไหลลงมาอย่างงดงาม ชมพิพิธภัณฑ์รัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh State Museum) พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมประวัติศาสตร์ของรัฐอุตตรประเทศเอาไว้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จัดแสดงวัตถุโบราณคดีที่มีอายุนานกว่า 1,000 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา

จากนั้นเราก็ได้เดินชม 'โชตาอิมามบารา' (Chota Imambara) หรืออนุมัสยิด ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า แต่ความงดงามไม่แพ้กันเลย เรียกได้ว่าถ่ายรูปเพลิดเพลินสุดๆ 

ต่อมาเราได้เดินไปอีกนิดถึง 'รูมิ ดะร์วาซา' (Rumi Darwaza) หรือ “ประตูเตอร์กิช” เป็นประตูเมืองขนาดใหญ่ เป็นรูปซุ้มโค้งประดับลวดลายตามศิลปะของชาวอินเดีย สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 ในเวลากลางคืนจะมีการเปิดไฟประดับอย่างสวยงามยิ่งใหญ่ เราแวะชมถ่ายรูปกันนิดๆ และชิมขนมข้างทางของอินเดีย มันอาจจะดูไม่ค่อยสะอาด แต่เราชิมเอาประสบการณ์ก็โอเคอยู่ ไม่ท้องเสียนะคะ

หลังจากนั้นไปต่อกันที่ 'Constantia House' พระราชวังฤดูร้อน ของนายพลมาร์ติน ภายหลังดัดแปลงเป็นโรงเรียน เป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ และเป็นตัวอย่างที่ดีของสถาปัตยกรรมอังกฤษ การได้เข้ามาเยี่ยมชมที่นี่คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติของสถานที่สำคัญและเรื่องราวของกองทัพอังกฤษ เราชอบที่นี่มาก เหมือนไม่ได้อยู่ที่อินเดีย แต่มาเที่ยวถ่ายรูปชิคๆ ที่อังกฤษ สถาปัตยกรรมงดงามทำให้ถ่ายรูปมาจนเมมเต็มทีเดียว

สถานที่สุดท้ายของทริปนี้ ผู้หญิงอย่างเราๆ ต้องไม่พลาดหาแหล่งช็อปปิ้งกันอย่างแน่นอน ไปช็อปปิ้งกันที่ ตลาด ‘ฮาซรัทเกนจ์’ (Hazratganj) แหล่งช็อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง โดยเป็นย่านท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยร้านค้า ภัตตาคาร โรงภาพยนตร์ ศูนย์รวมความบันเทิง และมีโรงแรมที่พักให้บริการ โดยย่านนี้มีอายุมากกว่า 200 ปีแล้ว 

คำถามก่อนมาเที่ยวอินเดียของเราคือ ไปอินเดียต้องซื้ออะไรกลับมา ได้คำตอบจากคนรอบข้างและการหาข้อมูลจากกูเกิล คือ ลิปบาล์ม แบรนด์หิมาลายา เราจึงไม่รีรอรีบเดินหาซะทั่ว แต่ปรากฏว่าที่ลัคเนาว์ ไม่ค่อยมีชอปหิมาลายา มีขายบ้างในร้านเครื่องสำอางต่างๆ แต่ก็หมดแทบทุกร้าน เราซื้อลิปมาได้แค่ 4 แท่ง ลองใช้แล้ว เริดอยู่นะเออที่สำคัญราคาถูกกว่าที่ไทยมาก อินเดียขายแท่งละประมาณ 20-30 บาทไทย บ้านเราขาย 75 บาท 

วันที่ 3 : หวนคิดถึง ไม่อยากกลับ

ถึงวันสุดท้ายแล้ว มีความรู้สึกในใจ "ไม่อยากกลับเลยจริงๆ" จากตอนแรกมีความรู้สึกไม่อยากมาเที่ยวอินเดียเลย แต่เมื่อได้สัมผัสที่นี่ บอกเลยว่าเหมือนโดนต้องมนต์ เราคิดว่าอินเดียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต ผู้คนอัธยาศัยดีมาก ถึงขั้นใช้คำว่าดีเว่อร์ๆ ได้เลย หันไปทางไหนคนอินเดียก็พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ขอเราถ่ายรูปเซลฟี่ หรือแม้กระทั่งเอากล้องไปขอจ่อหน้าถ่ายรูป ทุกคนก็พร้อมที่จะยินดี

ในวันสุดท้ายเราตื่นเช้า ทานข้าว แล้วออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปสนามบินเลย ทริปนี้อาจจะได้เที่ยวจริงๆ แค่วันเดียว เรียกได้ว่าเป็นทริปฉบับประหยัดวันสุดๆ อาจจะรวบรัดไปนิดนึง แต่โดยรวมแล้วเราถือว่าโอเคสำหรับคนที่มีวันหยุดน้อยๆ และยังประหยัดงบอีกด้วย 

ลืมบอกว่าเราบินตรงด้วยสายการบิน Thai Smile เที่ยวบินที่ WE 333 สำหรับใครที่สนใจบินตรงไปยังเมืองลัคเนาว์ ประเทศอินเดีย หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามีเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-ลัคเนาว์ เปิดให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ คือวันอังคาร วันพฤหัส และวันเสาร์ และเส้นทางลัคเนาว์-กรุงเทพฯ เปิดให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เช่นกัน คือวันพุธ วันศุกร์ และวันอาทิตย์

สำหรับทริปนี้ขอจบลงเพียงเท่านี้ ลาไปก่อน เจอกันใหม่ทริปหน้า ท่องเที่ยวต่างประเทศจะไปประเทศไหนอีก ต้องติดตามอ่านนะจ๊ะซิส!