อาหารค่ำในคืนแรกที่มาเก๊า Ken Lee เจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวมาเก๊า พาไปสัมผัสบรรยากาศแสง สี ที่ร้านอาหาร La Chine ที่ตั้งอยู่ใต้หอไอเฟลจำลอง ใน เดอะปารีเซียน มาเก๊า (Parisian Macao) อีกหนึ่งแลนด์มาร์กล่าสุดของมาเก๊า ในเขตโคไท (Cotai Strip) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากความคลาสสิกและความโรแมนติกของหอไอเฟล กลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
สำหรับเดอะปารีเซียน เป็นส่วนต่อขยายมาจากเดอะเวเนเชียน ภายในประกอบด้วยโรงแรมหรูกว่า 3,000 ห้อง ร้านค้าแบรนด์เนมมากกว่า 170 ร้าน ร้านอาหาร สวนน้ำ โรงละคร และที่ขาดไม่ได้ก็คือกาสิโน ที่เป็นแหล่งรายได้หลักของมาเก๊า ที่มากกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 80% ของ GDP เลยทีเดียว
หลังจากจิบไวน์กันอย่างออกรส Ken บอกว่า เขาเลือกไวน์ฝรั่งเศส เพื่อให้เราได้ซึมซับบรรยากาศเหมือนกำลังนั่งอยู่ที่หอไอเฟลจริงๆ แต่พรุ่งนี้ เราจะได้เห็นมาเก๊าในอีกมุมหนึ่ง ที่หมู่บ้านโคโลอาน
“ผมรับรองว่าพวกคุณจะชอบร้านอาหารที่ผมเลือกให้สำหรับมื้อเที่ยงวันพรุ่งนี้ การท่องเที่ยวมาเก๊าขอรับรองพวกคุณด้วยอาหารทะเลสด และฝีมือการปรุงแบบมาเก๊าแท้ๆ”
วันที่สองในมาเก๊า รับอรุณกันที่ หมู่บ้านโคโลอาน หมู่บ้านเล็กๆริมทะเล ที่มีพื้นที่เพียง 8 ตารางกิโลเมตร แต่พื้นที่ความสุขน่าจะมากกว่าหลายเท่า
โคโลอาน เดิมเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ตั้งอยู่ตอนใต้สุดของมาเก๊า สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ที่นี่ คงเป็นบ้านสไตล์โปรตุเกสทาสีพาสเทลอ่อนๆ และที่เดินเล่นชิลๆริมทะเล และยังเป็นที่ถ่ายทำละครซีรีส์เกาหลีชื่อดังอย่าง เจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา ด้วย
บ้านแต่ละหลังในโคโลอานยังคงอนุรักษ์ความดั้งเดิมเอาไว้ บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ แลนด์มาร์กของที่นี่ คือ โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวีย (St.Francis Savier Church) หรือโบสถ์แห่งโคโลอานที่สร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมแบบบาร็อก (Baroque) ตัวอาคารเป็นสีเหลืองสดสลับขาว หน้าต่างทรงโค้ง และมีหอระฆังอยู่ด้านบน โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักบวชฟรานซิส ซาเวียร์ (Francis Xavier) ชาวสเปนผู้ที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในมาเก๊า ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบสองนักบุญ ของพระคริสต์ ผู้เผยแพร่ศาสนาในดินแดนตะวันออก
...
หลังจากเช็กอิน เดินเล่น ถ่ายรูปกันแล้ว ก็ได้เวลาอาหารกลางวัน และอย่างที่ Ken Lee บอก เขาเลือกร้าน Nga Tim Cafe ที่อยู่ติดกับโบสถ์ อาหารทะเลสด อร่อย สมคำร่ำลือ แนะนำให้สั่งน้ำอ้อยคั้นสดๆ ทั้งหอม หวานและอร่อย ส่วนคนที่ชอบเครื่องดื่มรีเฟรชชิ่งเบาๆ แนะนำให้สั่ง แซงเกรีย หรือ sangria เป็นไวน์เบาๆผสมกับผลไม้สด ว่ากันว่า เป็นวิธีการที่ชาวโรมันสมัยโบราณ ใช้เพิ่มรสชาติไวน์ที่อาจจะยังหมัก บ่ม ไม่ได้ที่ ให้มีความหอม หวาน มากขึ้น ว่ากันว่า ประเทศที่มีวัฒนธรรมการดื่มแซงเกรีย สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน คือ เยอรมนี ที่เรียกไวน์ชนิดนี้ว่า กลูไวน์ และสเปนที่ยังคงเรียกไวน์รสชาติละมุนในแบบฉบับของพวกเขาว่า แซงเกรีย เหมือนเดิม
ปิดท้ายกันที่ขนมหวานประจำชาติ อย่าง ทาร์ตไข่ หรือ egg tarts ที่เป็นไฮไลต์ในย่านนี้ แน่นอน เรากำลังพูดถึง ร้าน Lord Stow’s Bakery สาขาแรกของมาเก๊า ถือเป็นร้านเบเกอรีในตำนาน ที่ใครมาเที่ยวหมู่บ้านโคโลอานแล้ว ไม่ได้กินทาร์ตไข่ร้านนี้ เขาจะบอกว่า คุณมาไม่ถึง...!!
Lord Stow’s Bakery ร้านแรก เปิดเมื่อปี 1989 เจ้าของชื่อ Andrew Stow ซึ่งเดินทางมาจากอังกฤษและเกิดหลงรักกับ Margaret สาวท้องถิ่นมาเก๊า แอนดรูว์ อยู่กินกับ มาร์กาเร็ต ได้เพียง 8 ปี ก็แยกทางกัน โดยมาร์กาเร็ตได้เปิดร้านเบเกอรีอีกร้านหนึ่ง ชื่อว่า Margaret’s Cafe e Nata ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
ความอร่อยของทาร์ตไข่ร้านนี้ คือ ตัวแป้งที่จะเป็นแป้งเพสตรี้ (Pastry) หรือแป้งพายกรอบ หลายชั้นซ้อนกัน มีทั้งความหอม ความกรอบ ตัวเนื้อคัสตาร์ด มีความหอมมันของไข่สด หวานน้อย เนื้อละเอียดนุ่ม...กินกับกาแฟขม หรือชาร้อนๆ...ได้อารมณ์ฟินสุดๆเลยล่ะ
...
ตกค่ำเรามีโปรแกรมไปชมพลุไฟสุดตระการตา ในงาน 30rd Macao International Fireworks Display Contest โดยจุดที่ทางการท่องเที่ยวมาเก๊าจัดให้ไปนั่งชม คือ ร้าน Tromba Rija ภายในอาคารมาเก๊า ทาวเวอร์ ซึ่งถือเป็นจุดที่ใกล้และชมพลุไฟได้สวยที่สุด....
วันสุดท้าย เรามีเวลาไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ทั้ง Art Museum และ Handover Gift Museum ซึ่งตระการตาด้วยของขวัญล้ำค่า ที่จีนมอบให้มาเก๊าหลังจากโปรตุเกสคืนดินแดนคาบสมุทรนี้ให้กับจีน...
ก่อนกลับ แวะซื้อปลากุเลามาเก๊าติดไม้ติดมือกันที่ ตลาดแดง หรือ Red Market ตลาดในตำนาน ที่เป็นสีสันของคนท้องถิ่นที่นี่ และปิดท้ายด้วย ติ่มซำ ที่ ร้าน Wing Lei ห้องอาหารระดับมิชลิน ใน Wynn Palace กาสิโนสุดหรูที่มีรถ Sky Cab บริการฟรี...แถมมีหุ่นยนต์พญานาคว่ายน้ำโชว์ให้ดูด้วย...
ใครจะเชื่อว่า มาเก๊า คาบสมุทรเล็กๆ ถึงเล็กมาก ที่ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็ขับรถได้รอบ จะมีเรื่องราวและสีสันมากมาย รวมไปถึงอีเวนต์ตลอดปี เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว...มีรายได้จากกาสิโน ที่ทำให้ประชาชนมีโบนัสจากรัฐบาลทุกปี ปีละ 30,000 บาทต่อคน เป็นเมืองที่คนมีอายุยืนเป็นอันดับ 4 ของโลก...แถมด้วยความสุขที่เกินจนล้น
...
มาเก๊า...ไปกี่ครั้ง...ก็ไม่มีวันเบื่อ....!!!