ชูโงะคุ (Chugoku) ภูมิภาคเล็กๆปลายสุดของเกาะฮอนชู ซึ่งประกอบด้วย 5 จังหวัด คือ ฮิโรชิมะ (Hiroshima) ทตโตริ (Tottori) โอคะยะมะ (Okayama) ยะมะงุชิ (Yamaguchi) ชิมาเนะ (Shimane) อาจไม่ถูกกล่าวถึงมากนักในโปรแกรมเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะของคนไทย

ล่าสุด องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) สำนักงานกรุงเทพฯ เชื้อเชิญให้ไปเยือน ชูโงะคุ ทำให้ได้สัมผัสสีสันและเสน่ห์ของภูมิภาคเล็กๆในญี่ปุ่นแห่งนี้ อย่างที่ต้องบันทึกไว้ในความทรงจำเลยทีเดียว

ทริปนี้มีเวลา 4 วัน 3 คืน เราเดินทางสู่ภูมิภาคชูโงะคุโดยทางเครื่องบิน ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงดึก บินถึงสนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียว ตอนเช้าตรู่ จากนั้นต่อไฟลท์ภายในประเทศไปยังสนามบินทะคะมัทสึ จังหวัดโอคะยะมะ วันนี้โชคดีท้องฟ้าแจ่มใส ได้เห็นภาพมุมสูงของ ภูเขาไฟฟูจิ แลนด์มาร์กสำคัญของญี่ปุ่นด้วยการเดินทางสู่ ชูโงะคุ ไม่ได้ลำบาก ค่อนข้างจะสะดวกสบายเสียด้วยซ้ำ เพราะสามารถเดินทางได้ทั้งรถไฟหัวจรวดชินคันเซน รถยนต์ เครื่องบิน และสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งยังมีห้องน้ำแบบสากลให้บริการฟรี

...

เริ่มต้นกันที่จังหวัดแรกของ ชูโงะคุ...ที่ได้รับสมญาว่า อาณาจักรลูกพีช เพราะเป็นแหล่งปลูกพีช หรือลูกท้อรสเลิศ นั่นก็คือ จังหวัด โอคะยะมะ และยังเป็นบ้านเกิดตำนานพื้นบ้าน โมโมทาโร เด็กชายผู้กล้าและแข็งแรงที่ถือกำเนิดจากลูกท้อ เขาและเพื่อนคู่ใจมีหมา ลิง และนก ได้ร่วมกันปราบยักษ์อันธพาล กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างคาแรกเตอร์พระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นในยุคต่อมา

เมื่อมาถึง โอคะยะมะ ที่แรกที่ต้องไปเยือนคือ ปราสาทโอคะยะมะ หรือ ปราสาทอีกาดำ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1597 ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำ ตัวปราสาทหลังเก่าถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังเหตุการณ์ผ่านไป 20 ปี ปราสาทโอคะยะมะ ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในรูปแบบเดิม จากจุดนี้สามารถเดินเท้าไปชม สวนโคราคุเอน 1 ใน 3 สวนสวยที่สุดในญี่ปุ่นได้ด้วย

อีกที่ที่ไม่ควรพลาด คือ ศาลเจ้าคิบิสึ ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับตำนาน โมโมทาโร จุดเด่นคือทางเดินยาว 360 เมตรซึ่งสวยงามมาก

คืนแรกเราพักกันที่ โรงแรมยุบะระโคคุไซคังโค ซึ่งมีไฮไลต์คือ ยุบะระออนเซน ให้นอนแช่แก้เมื่อยก่อนจะเริ่มโปรแกรมวันพรุ่งนี้ ด้วยการนั่งรถออกนอกเมืองไปยัง จังหวัดฮิโรชิมะ ชื่อนี้คนไทยอาจจะคุ้นๆ เพราะเป็นหนึ่งในสองเมืองที่ถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์เมืองเก่าใน เขตอนุรักษ์คัตสึยามะ และ ย่านประวัติศาสตร์คุระชิกิบิคัง หายไป เช่นเดียวกันยังคงมีสถานที่ให้จดจำรำลึกถึงบาดแผลของสงคราม อย่าง โดมปรมาณู (Atom Bomb Dome) สวนสันติภาพฮิโรชิมะ ให้เที่ยวชมด้วย

บ้านเรือนในแถบ ฮิโรชิมะ ยังคงเงียบสงบ สวยงาม ผู้คนเป็นมิตร อากาศดี สองข้างทางมีร้านอาหาร ร้านขนม ร้านขายสินค้าที่ระลึก ร้านกาแฟเก๋ๆ ให้เดินถ่ายรูปหรือเซลฟี่แบบชิลๆ หรือจะล่องเรือชม แม่น้ำคุระชิกิ ดื่มด่ำกับสายน้ำใส และร้านค้าบางร้านที่เปิดให้เข้าไปเวิร์กช็อปเรียนรู้งานฝีมือแบบญี่ปุ่น เช่น เขียนภาพ ทำกระเป๋าสตางค์ และงานสานไม้ไผ่ได้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น คล้ายๆกับของไทยเหมือนกัน

...

จากฮิโรชิมะ เราไปต่อกันที่เมือง โอโนมิจิ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฮิโรชิมะ มาเมืองนี้ กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดคือ การนั่งกระเช้าขึ้นไปไหว้พระที่ วัดเชนโคจิ เพื่อขอพรให้ความรักยืนยง วัดโบราณแห่งนี้มี หอระฆัง (Shoro) ที่มีชื่อเสียงอยู่ในวิหารสีแดง เสียงระฆังจะดังเฉพาะในคืนส่งท้ายปีเท่านั้น

ตกค่ำ...โปรแกรมเขาจัดให้นั่งเรือข้ามไปนอนในโรงแรมที่ตั้งอยู่บน เกาะโอคุโนะชิมะ หรือ เกาะกระต่าย ซึ่งเป็นโรงแรมเพียงแห่งเดียวบนเกาะ ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะนี้เป็นสถานที่ผลิตแก๊สพิษใช้ในการสู้รบ หลังสงครามยุติ มีเด็กนักเรียนโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง นำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กระต่าย 8 ตัวมาปล่อยไว้ กระต่ายเหล่านั้นออกลูกออกหลานแพร่พันธุ์จากรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันคาดว่ามีฝูงกระต่ายไม่ต่ำกว่า 1 พันตัว รอต้อนรับผู้มาเยือนบนเกาะนี้

จากเกาะกระต่าย ต่อไปยังย่านเมืองเก่า ทาเคะฮาระ ที่นี่มีวัดสวยบนเนินเขาชื่อ วัดไชโฮจิ แนะนำสาวๆเช่าชุดกิโมโนจากร้านแถวนั้น แต่งตัว ขึ้นไปถ่ายรูปบนวัดจะได้บรรยากาศย้อนยุคสมจริง ตกบ่ายไปชม ปราสาทฮิโรชิมะ อันสง่างาม และ อนุสาวรีย์นกกระเรียนพันตัวของเด็กหญิงซาดาโกะ มาเที่ยวย่านนี้ห้ามพลาด ต้องขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์และบรรยากาศแสนโรแมนติกบนชั้นสูงสุดของ อาคารโอะริซึรุ (Orizuru Tower) พร้อมร่วมกิจกรรมพับนกกระเรียนเป็นที่ระลึก

...

วันสุดท้าย เราไปลงเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือมิยะจิมะกุชิ เมืองฮัตสึกาอิจิ ข้ามไปยังเกาะมิยะจิมะ สักการะ ศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ หรือ ศาลเจ้าลอยน้ำ เป็นศาลเจ้าในลัทธิชินโต สร้างขึ้นในสมัยเฮอัน ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก มี “เสาโทริอิยักษ์สีแดง” ตั้งเด่นกลางทะเล เวลาน้ำขึ้นจะทำให้รู้สึกเหมือนว่าศาลาศาลเจ้าสีแดงที่เชื่อมต่อกันด้วยระเบียงทางเดินลอยอยู่ในทะเลอย่างน่าอัศจรรย์

ตกบ่าย เราเดินทางไปอำเภอ อิวะคุนิ จังหวัดยะมะงุชิ ชมความงดงามของ สะพานคินไตเคียว เป็นสะพานไม้ 5 โค้ง สร้างมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ปี ค.ศ.1673 เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์การท่องเที่ยวญี่ปุ่น หากใครมาเยือนในช่วงเดือนเมษายน จะได้ชมประเพณีข้ามสะพานแบบโบราณ พร้อมกับดอกซากุระที่ผลิบานงดงาม

ต้องการข้อมูลการท่องเที่ยวภูมิภาค ชูโงะคุ เพิ่มเติมสอบถามได้ที่ www.jnto.or.th หรือโทร.0-2261-3525-6 ถ้าอยากสัมผัสเสน่ห์แบบดั้งเดิมของดินแดนอาทิตย์อุทัย ลองเปิดใจไปสัมผัส ชูโงะคุ สักครั้งแล้วคุณจะหลงรักจนหมดใจ....!!!

...