สมัยนี้จะเดินทางไปต่างประเทศ ถือว่าไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร ขึ้นเครื่องบินไปแป๊บเดียวก็ถึง แต่ถ้าในสมัยก่อนอย่างสมัยอยุธยาล่ะ คนไทยเวลาจะไปติดต่อค้าขาย หรือเจริญสัมพันธไมตรีที่ต่างแดน จะไปยังไงหว่า?
ไทยรัฐออนไลน์ รวบรวมวิธีเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ของคนไทยสมัยอยุธยามาให้ทราบกัน...
1. เดินทางโดยเรือ
ในสมัยอยุธยา คนไทยใช้เรือสัญจรทางน้ำเป็นหลัก ใช้แม่น้ำแต่ละสายเป็นเหมือนถนนในสมัยนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแม่น้ำไหลผ่านแทบทุกที่ ทั้งการเดินทางไปวัด เดินทางไปตลาด เดินทางเข้าวังหลวง หรือแม้กระทั่งเดินทางไปต่างเมือง เช่น เมืองละโว้ เป็นต้น ก็มักใช้เรือกันแทบทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรือเล็ก เช่น
- เรือกระแชง : เป็นเรือต่อ ท้องเรือโค้งกลม เคลื่อนที่ได้โดยการใช้ถ่อหรือแจว
- เรือเข็ม, เรือโอ่ : เป็นเรือต่อยาวราว 3-4 วา หัวและท้ายเรือเรียวเชิด กราบเรือสูงพ้นน้ำเพียงเล็กน้อย นั่งพายเพียงคนเดียว เรือแบบนี้สามารถพายได้เร็ว ใช้สำหรับไปธุระ ไปเที่ยว บางโอกาสใช้สำหรับพายแข่งขัน
...
- เรือชะล่า : เรือขุดจากไม้ซุงทั้งต้น ปากเรือให้กว้าง ท้องเรือแบน เคลื่อนที่โดยใช้ถ่อ
- เรือหางยาว : เรือท้องแบนหรือรูปตัววี เพรียวและยาว น้ำหนักเบา ใช้เพื่อการเดินทางเป็นเรือโดยสาร เรือบรรทุกของ เรือท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ตามแม่น้ำลำคลอง
2. เดินทางโดยม้า/ช้าง
ในสมัยอยุธยานอกจากเดินทางทางน้ำโดยใช้เรือแล้ว ก็ยังมีการเดินทางบนบก ส่วนใหญ่จะเดินทางโดยใช้สัตว์เช่น ม้า ช้าง เป็นต้น สำหรับม้านั้นใช้สัญจรในระยะทางไม่ไกลมาก เน้นทางเรียบ แต่สำหรับช้างนั้นมักใช้ในการงานที่ต้องเดินทางไปในเส้นทางขรุขระ หรือเส้นทางระยะไกลๆ
3. เดินทางโดยเกวียน
ในสมัยก่อนการเดินทางที่มีสิ่งของ จะใช้วิธีบรรทุกขนส่งด้วยการหาบ การหาม โดยใช้แรงคนหรือแรงสัตว์ ใช้บรรทุกขนส่ง หรือเดินทางทางบก ทั้งระยะใกล้และระยะไกล
ต่อมาเมื่อสามารถสร้างเกวียน ซึ่งเป็นพาหนะขับเคลื่อนด้วยล้อ 2 ล้อที่ใช้แรงงานสัตว์เทียมลากได้แล้ว เกวียนจึงกลายเป็นพาหนะหลัก ใช้ในการบรรทุกเดินทางขนส่งทางบกระหว่างชนบทกับชนบท หรือชนบทกับในเมือง
4. เรือสำเภา เรือค้าขายระหว่างประเทศ
เรือสำเภา เป็นเรือค้าขายที่มาจากประเทศจีน ซึ่งมีการติดต่อค้าขายกับประเทศไทยมากที่สุด เข้ามาในประเทศไทยปีละครั้งในฤดูร้อน ซึ่งเป็นฤดูที่มีลมตะเภาพัดมา จึงได้เรียกเรือค้าขายที่มาจากประเทศจีนว่า เรือตะเภา, เรือสะเภา หรือเรือสำเภา
...
เรือสำเภาที่ต่อในประเทศไทย มีตัวอย่างที่วัดยานนาวา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเรือขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยต่อในประเทศไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส่วนเรือสำเภาขนาดย่อมกว่านี้ก็มีใช้ในเมืองไทยเหมือนกัน
5. ไปต่างประเทศ ใช้เรือกำปั่น/เรือรบ
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไทยเรามีการติดต่อค้าขาย และเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ แต่การจะไปมาหาสู่กันนั้น เนื่องจากอยุธยามีแม่น้ำล้อมรอบ จึงต้องติดต่อสัญจรโดยเรือเป็นหลัก สมัยนั้นมีทั้งเรือสำเภาและเรือกำปั่น
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นสมัยที่มีการค้าทางทะเลเจริญก้าวหน้ามาก ก็ได้มีการต่อเรือกำปั่นที่กรุงศรีอยุธยาและที่เมืองมะริด ดังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุของบาทหลวงเดอชัวสี
(เรือกำปั่น คือ เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง หัวเรือเรียวแหลม, ถ้ามีเสากระโดง มีใบเรือ เรียกว่า กำปั่นใบ, ถ้าไม่มีเสากระโดงแต่มีปล่องไฟ และเดินเครื่องด้วยกำลังเครื่องจักรไอน้ำ เรียกว่า กำปั่นไฟ)
สำหรับเรือกำปั่นในสมัยอยุธยา ใช้เพื่อเดินทางค้าขายกับหัวเมืองทางอินเดีย นอกจากนี้ในสมัยพระนารายณ์ฯ ยังมีการใช้เดินทางไปต่างประเทศ เช่น ไปประเทศฝรั่งเศสครั้งที่ 1 ราชทูตไทยเดินทางไปในเรือกำปั่นฝรั่งเศส แต่เรือลำนั้นไปแตกที่เกาะมดะคัศคา คนที่ไปหายสูญไปหมด
...
ต่อมาอีก 2 ปี ทูตไทยไปเป็นคราวที่ 2 โดยสารเรือกำปั่นฝรั่งเศสอีกเช่นกัน เพื่อไปสืบข่าวทูตไทยไปคราวแรกที่หายไป รวมถึงเพื่อติดต่อเจริญสัมพันธไมตรีด้วย ในครั้งนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงทราบว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชใคร่จะมีการเจริญพระราชไมตรี ก็ทรงยิ่งดี โดยเป็นโอกาสที่จะแผ่พระเกียรติยศแลเดชานุภาพ ให้มาปรากฏทางประเทศทิศตะวันออก
จึงแต่งราชทูต เชิญพระราชสาส์นกับเครื่องราชบรรณาการมาเจริญทางพระราชไมตรียังสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทูตฝรั่งเศสมาด้วยเรือรบ รับทูตไทยทั้ง 2 คนนั้นกลับมาส่งด้วย
พอทูตฝรั่งเศสคณะนี้ได้เวลาเดินทางกลับ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงทรงแต่งให้พระวิสูตรสุนทร คือโกษาปาน เป็นราชทูตเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการ ไปเจริญทางพระราชไมตรีตอบแทนพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โกษาปานไปคราวนี้ นับเป็นทูตไทยไปเมืองฝรั่งเศสคราวที่ 3 เดินทางไปโดยเรือรบฝรั่งเศส
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แสดงว่าได้มีการต่อเรือทั้งสำเภาแบบจีน และเรือกำปั่นในแบบฝรั่งมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ก็มีพวกพ่อค้าประชาชนจัดตั้งโรงต่อเรือสินค้า เพื่อนำเรือไปขายต่างประเทศ เพราะเมืองไทยอุดมไปด้วยไม้ซึ่งมีราคาถูกกว่าต่างประเทศ กับทั้งค่าแรงก็ไม่แพง ค่าต่อเรือถูกกว่าที่อื่นๆ ซึ่งนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีกำไรดีอย่างหนึ่ง
...
ที่มาภาพ : tradingship, swantunbomb, sri.cmu
ที่มา : kanchanapisek, thaiboatclub, wikisource