การวิ่ง การเดินป่า ความแตกต่างที่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าพอถึงตรงจุดนี้ หลายคนอาจตั้งคำถามสงสัยว่า “การวิ่ง การเดินป่า มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร จะทำไปเพื่ออะไร”
สำหรับตัวผมเองแล้ว การวิ่งและการเดินป่า เป็นแค่กระบวนการเรียนรู้นอกกรอบในรูปแบบนึงเท่านั้น คนส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตในแบบที่คุ้นชินและไม่คิดที่จะออกจากกรอบความคิดเดิมๆที่ตัวเองเป็นคนสร้างเอาไว้เปรียบเสมือนกับคนที่ก่อกำแพงรั้วล้อมรอบตัวเองทุกๆวันจนไม่สามารถหาทางออกได้เลย จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะออกจากวงจรความคิดแบบนี้ไปได้เลย ผมขอเรียกมันว่า “วงจรอุบาทว์”
เรามักจะเลือกทำกิจกรรมแบบเดิมๆซ้ำๆ ชอบทำงานที่มีระเบียบแบบแผน คิดแต่ในกรอบ ซึ่งสุดท้ายส่งผลให้เราขาดแรงกระตุ้น ขาดความคิดสร้างสรรค์ และขาดแรงบันดาลใจในชีวิตไปในที่สุด เรากำลังปิดโอกาสของการเรียนรู้ครั้งสำคัญในชีวิตไปเสีย การคิดและลงมือทำสิ่งที่อยู่นอกกรอบสำคัญมาก ไม่มีคำว่าผิด ไม่มีคำว่าถูก เพราะมันเป็นแค่เพียงกระบวนการเรียนรู้และการฝึกทักษะในการใช้ชีวิตในรูปแบบนึงเท่านั้น
ผมยังจำได้ดีว่า 9 วันสุดท้ายก่อนถึงงานวิ่งฟูลมาราธอนแรกในชีวิต ระยะ12 กม.เท่านั้นคือการฝึกซ้อมที่มากที่สุดก่อนแข่งขัน เนื่องจากผมเพิ่งหายป่วย ซึ่งมันช่างดูห่างไกลจากระยะ 42.195 กม. เสียเหลือเกิน
...
หรือแม้แต่เมื่อผมตัดสินใจเดินทางไปบนยอดเขาที่มีความสูงกว่า 4700 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพียงลำพังตัวคนเดียว ซึ่งผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ในขณะนั้นมีคนรอบข้างที่หวังดีและห่วงใยคอยเตือนผมเสมอว่า
“สิ่งที่ทำมันเยอะเกินไปไหม ไหวไหม ทำไปทำไม ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ มันอันตรายมากเลยนะ!!!"
แน่นอนว่าถ้าคำพูดเหล่านี้หากผมไม่รับฟังเลย ก็ถือว่า “โง่” และ “ดื้อรั้น” อย่างมากแต่ถ้าผมรับฟังแล้วทำตาม โดยไม่พิจารณาและไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ผมถือว่า “โง่มากกว่า”แต่ใครกันที่จะเป็นคนตัดสิน ใครกันที่จะรู้จักศักยภาพที่แท้จริงได้ดีที่สุดนอกจาก…ตัวเราเอง หลังจากผ่านภารกิจต่างๆ ทำให้ผมมองย้อนกลับไป จึงพบว่า ศักยภาพของมนุษย์มีมากมายจริงๆ หากเรามีความมุ่งมั่นมากพอ เราจะสามารถเอาชนะอุปสรรคและก้าวข้ามขีดจำกัดที่ความคิดของเราเป็นผู้สร้างขึ้นมาเองได้นอกจากนี้ กว่าจะมาเป็นนักวิ่งมาราธอน ระยะทาง42.195 กม.
หรือกว่าจะการเดินทางไกลเพื่อไปยังเป้าหมายที่สูงเสียดฟ้า ภายใต้อากาศที่เบาบาง ต้องเผชิญทั้ง ร้อน ฝน หนาว และมีหิมะตก หลายครั้งอยู่ในสถาน การณ์ที่ยากลำบาก กดดันและเสี่ยงอันตราย มันมีเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มากมายนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เราตัดสินใจเริ่มต้นออกจากกรอบความคิดแบบเดิมๆ ระยะทางที่ซ้อมรวมหลาย100กิโลเมตร เวลาที่ฝึกซ้อมนานหลายเดือนหรืออาจนานหลายปีสำหรับบางคนเพื่อไปพิชิตมาราธอนให้ได้สักครั้งนึงในชีวิตระยะทางไกลที่ต้องเดินทางยาวนานมากกว่า 8-9 ชั่วโมง หรือในบางครั้งมากกว่า10 ชั่วโมง
เพื่อไปยังจุดหมายบนยอดเขาสูง มันต้องใช้ความเพียรพยายาม ความมุ่งมั่นมากแค่ไหนกว่าจะทำสำเร็จผมค้นพบว่า “ความสำเร็จ” ไม่ได้รอเราอยู่ที่ปลายทางหรือรอเราอยู่ที่เส้นชัยแต่มันอยู่กับทุกๆก้าวที่เรายังคงก้าวเดินต่อไป อยู่กับทุกๆช่วงเวลาที่เรายังคงไม่ละความพยายาม ไม่ยอมแพ้ แม้ว่าอุปสรรคจะมีมากมายเพียงใด ผมจึงมองว่าทั้งหมดมันคือ “เส้นทางแห่งการเรียนรู้”
หลังจากภารกิจการเดินทางที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์สำเร็จลุล่วงไปแล้ว มันเสมือนเป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและสร้างความมั่นใจให้มีมากขึ้น ผมจึงเริ่มวางแผนเพื่อทำสิ่งที่ผมเคยฝันเอาไว้ในใจมาโดยตลอด แต่ยังไม่มีความกล้าพอที่จะทำมัน นั่นก็คือ
การเดินทางไกลด้วยตนเองไปยังดินแดนหลังคาโลก “ทิเบต” การเดินทางไกลที่แสนยากลำบากที่ต้องเผชิญหน้ากับอากาศที่เบาบางครั้งแรกในชีวิต ที่ความสูงเกือบ 5,000 เมตรบนยอดเขาสูง มันช่างดูยากและเสี่ยงอันตรายมากทีเดียว ถึงแม้ว่าเราจะเตรียมร่างกายพร้อมเพียงใดก็ตามที ผมได้ศึกษาข้อมูลเพื่อวางแผนการเดินทาง
...
จนในที่สุดผมก็เจอจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ นั่นก็คือ “แคว้นคาม” แคว้นนี้ตั้งอยู่ในเขตทิเบตฝั่งตะวันออก ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน เพราะอยู่ในเขตปกครองของรัฐบาลจีน เป็นเส้นทางจาริกแสวงบุญที่มีธรรมชาติที่ร่มรื่นและงดงาม แม้การเดินทางค่อนข้างทุรกันดารพอสมควร แต่เป็นเส้นทางที่เหมาะแก่ผู้ที่สนใจศิลปวัฒนธรรมและพุทธศาสนานิกายมหายาน ที่สำคัญในหลายๆ หมู่บ้านยังคงใช้ชีวิตที่เรียบง่ายตามวิถีชีวิตของทิเบตแบบดั้งเดิมอีกด้วย
...
คำว่า “ชัมบาลา” เป็นคำที่ผมมักค้นเจออยู่บ่อยๆ ก่อนออกเดินทางในครั้งนี้ จนเกิดคำถามที่ชักชวนให้ผมหาคำตอบมากมายว่า คืออะไร มันอยู่ที่ไหน?
“ชัมบาลา” ในทางความเชื่อทางศาสนา หมายถึง สังคมหรือเมืองในอุดมคติ ดินแดนแห่งสันติสุข ที่เจริญรุ่งเรืองและมีความสงบด้วยพลังแห่งพุทธศาสนา ชาวทิเบตเชื่อว่าเราจะตามหา “ชัมบาลา” เจอ ก็ต่อเมื่อเรามีจิตที่สะอาด มีศรัทธาตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม ทั้งกาย วาจา และใจ ดังนั้นภารกิจในครั้งนี้ผมต้องการค้นหาความหมายและออกตามหา “ซัมบาลา” ให้เจอในดินแดนแห่งศรัทธาบนหลังคาโลกที่ชื่อ “ทิเบต”
...
...มาดูกันว่าผมจะตามหาเจอไหม? สิงหาคม ปี 2559 ผมออกเดินทางพร้อมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีก 2 คน แผนการเดินทางในครั้งนี้เราเริ่มต้นจากเมืองเฉิงตู (Chengdu) ไปยังเมืองคังติง (Kangding) ซึ่งเปรียบเสมือนประตูแห่งแคว้นคาม เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเต้าเฉิง (Daocheng) แล้วไปสิ้นสุดที่จุดหมายปลายทางหลักของการเดินทางครั้งนี้ นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติย่าติง (Yading National Park)
ก่อนออกเดินทางเพียงแค่ 2 วัน ผมได้รับทราบข่าวที่ชวนตื่นเต้นและท้าทายกับตัวเองอย่างมาก “มีรายงานข่าวว่า เกิดพายุพัดถล่มเส้นทางที่เรากำลังจะเดินทางไป ทำให้ถนนเส้นหลักขาดเป็นช่วงๆ!!!” แต่เมื่อตัดสินใจทุกอย่างลงไปแล้ว ไม่มีอะไรให้คิดเยอะ นอกจากนั่งเครื่องบินไปลงที่เมืองเฉิงตู (Chengdu) ก่อน แล้วค่อยประเมินสถานการณ์กันอีกทีแบบวันต่อวัน
พวกเราเริ่มต้นเดินทางโดยนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงที่เมืองเฉิงตู (Chengdu) พวกเรามาถึงช่วงเย็นราวๆ 3 โมงเย็น ดังนั้นจึงพอมีเวลาเก็บข้าวของ พักผ่อน และเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางต่อในเช้าตรู่วันถัดไป ในขณะนั้นเท่าที่เราพอจะหาข้อมูลได้พบว่า ถนนเส้นหลักที่เรากำลังจะเดินทางไปบางส่วนถูกดินถล่มจนปิดการจราจร แต่ได้มีการเร่งระดมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยกันขนย้ายดินที่ถล่มและเคลียร์พื้นถนนเป็นการด่วน เกือบตลอดทั้งคืน ดังนั้นเราจึงเริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่เพื่อจะได้มีเวลาพอที่จะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าในระหว่างทาง เราออกเดินทางจากเมืองเฉิงตู (Chengdu)
โดยนั่งรถบัสประจำทางเพื่อไปยังจุดหมายคือเมืองคังติง (Kangding) ประตูแห่งแคว้นคาม ตลอดการเดินทางกว่า 8 ชั่วโมง มีฝนตกหนักเป็นระยะๆ มาโดยตลอด จนในที่สุดผมก็มาถึงเมืองคังติง (Kangding) ด้วยสภาพทุลักทุเลกันพอสมควร เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่อยู่แต่บนรถ
เมืองนี้ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,560 เมตรจากระดับน้ำทะเล บรรยากาศในตัวเมืองคังติง มันทำให้ผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เพราะเราเริ่มเห็นวัฒนธรรมและผู้คนชาวทิเบต เริ่มเห็นเหล่าลามะนิกายต่างๆ เห็นธงมนตรา กงล้อมนตราแบบทิเบต ทำให้ผมรู้ทันทีเลยว่าเราเดินทางเข้าใกล้ทิเบตมากเข้าไปทุกทีๆ แล้ว
ในวันนี้ทุกคนยังมีสภาพร่างกายที่ยังพอไหว แต่อากาศในตอนกลางคืนหลังจากฝนเริ่มตกหนักลงมา และมีลมพัดแรง ทำให้อากาศในตอนนี้เริ่มหนาวเย็นมากทีเดียว ผมจึงต้องรีบพักผ่อน เพราะในวันพรุ่งนี้มีงานหนักรอพวกเราอยู่ นั่นก็คือพวกเราต้องเดินทางด้วยรถบัสประจำทางอีก 14 ชั่วโมง เพื่อไปยังจุดหมายถัดไปที่ระดับความสูงมากกว่า 4,000 เมตร!!!
อ่านเพิ่ม : ข้ามกำแพงความกลัว! นักวิ่งที่ดี ทำอย่างไรพิชิตเกียวโตมาราธอน (ตอนที่1)
เครดิต
คอลัมน์ของ นพ.ศุภฤกษ์ คุณติสุข คุณหมอที่รักการเดินทาง ชอบท่องเที่ยว ชอบตั้งคำถาม เป็นคุณหมอที่มีความคิด ความอ่านลึก เราจะไม่ค่อยพบในกระแสหลักสักเท่าไหร่ หันมาเขียนหนังสือเพราะการชักชวนของ Raydo ในทริปเกียวโตมาราธอน 2018 จุดประสงค์หลักเพราะอยากถ่ายทอดความคิดดีๆ อยากสื่อสาร ส่งผ่านกำลังใจดีๆ ผ่านตัวหนังสือ
ติดตามได้ที่ : Doctorrunners