'ทริปชิงเต่า ประเทศจีน' เริ่มแล้ว เราเดินทางในวันอาทิตย์บ่ายๆ แดดเริ่มคล้อยหลังไปแล้ว ไฟล์ทบินของเราเวลาโดยประมาณ 15.25 น. ถึงสนามบิน ชิงเต่าก็ราวๆ 21.25 น.ตามเวลาบ้านเขา
เรานั่งสายการบิน นกสกู๊ต บิสสิเนสคลาส บอกเลยว่าที่นั่งสบายแบบ 242 ริมหน้าต่าง 2 ที่ ตรงกลาง 4 ที่ และริมหน้าต่างอีกฝั่ง 2 ที่นั่ง การจัดวางที่นั่งสบาย เข่าไม่ต้องชนกับเบาะหน้าสำหรับผู้ที่ขายาวเป็นนางแบบเช่นเรา เรียกว่าสบายตลอดการเดินทางและได้รับความสะดวกสบายจากแอร์สาวที่ให้ความเป็นกันเองและดูแลตลอดเส้นทาง
จากนั้นเราใช้เวลาอยู่บนเครื่องโดยประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาที ก็ถึงสนามบิน Qingdao (ชิงเต่า) ประเทศจีน ออกจาก Gate ผ่านตม.ปุ๊บต้องหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ทันทีเพราะหนาว ถึง 4 องศาในคืนแรก จากนั้นเราก็เดินทางจากสนามบิน เข้าที่พักเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว Hilton qingdao golden beach เพื่อเก็บแรงสำหรับวันต่อไป
...
ต้องบอกก่อนว่าเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง อยู่ติดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศจีน และเป็นพื้นที่ปากแม่น้ำหวงเหอที่ไหลลงสู่ทะเลป๋อไห่ พื้นที่บนแผ่นดินมีอาณาเขตติดต่อกับมณฑลเหอเป่ย เหอหนัน อันฮุย
อ๊ะๆ ลืมบอก ทริปนี้เราไม่ได้เปิดโรมมิ่งแต่เรามีพ็อกเกตไวไฟไปด้วย แบตอึดแบตทน อยู่ข้างนอกทั้งวันยังได้ ถ้าจะไปลองดูนะ
...
วันที่สอง.....
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาด้วยอากาศ 13 องศา ออกไปสูดอากาศนอกระเบียงดี๊ดีอ่ะ จากนั้นเราเดินทางไปที่สะพานจ้านเฉียว สร้างในปี ค.ศ 1819 ตัวสะพานมีความยาว 440 เมตร แล้วกว้าง 8 เมตร ยื่นลงไปในทะเล เราก็เดินท้าลมหนาวเข้าไปหาตัวอาคาร แบบไม่หวั่นไม่กลัวแดด เพราะอากาศมันดีจนไม่รู้คำว่าร้อนแดดคืออะไร
...
...
จากนั้นเราไปที่ถนน วัฒนธรรมพีฉายย่วน ซึ่งเป็นถนนที่มีชื่อเสียงของชิ่งเต่า หากใครชอบบรรยากาศเดินบ้านๆ คล้ายๆ ตลาดบ้านเรา แต่อากาศเย็น ก็มาได้ที่นี่มีตรอกซอกซอยเหมือนถนนเยาวราชบ้านเรา มีของที่ระลึก อาหารวางขายตามรายทาง และที่เด็ดเห็นจะเป็นแผงอาหารปรุงสดๆ ที่มีทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา และที่แนะนำคือปลาหมึกย่างปรุงรส ที่บอกเลยว่า คนจัดฟันก็ทานได้ เพราะมันไม่เหนียวแถมนิ่มเอามากๆ
เมื่อหมดเวลาเดินอยู่ในตรอกซอกซอยถนนวัฒนธรรมพีฉายย่วน รถบัสขนาดกะทัดรัดเคลื่อนตัวมารับเราก็ไปต่อเพื่อหลบหนาวกันที่ Anna Villa สถาปัตยกรรมบาโรกมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี มีการปรับแต่งแต่ยังคงความเป็นบ้าน ปัจจุบันปรับเป็นห้องหนังสือให้ประชาชนเข้ามาอ่านหนังสือ และหาความรู้ โดยมีทั้งหมด 4 ชั้น ทั้งนี้ยังมีมุมเขียนโปสการ์ดและร้านขายกาแฟอยู่ด้านล่างอีกด้วย แวบแรกที่เราเดินเข้าไปบรรยากาศจะคล้ายๆ กับมานั่งร้านกาแฟ เงียบสงบอบอุ่นดีจริงๆ
เมื่อออกจากห้องสมุด Anna ถัดมาเยื้องถนนมีโบสถ์ St.Emil หรือโบสถ์ St.Michael เป็นจุดยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โบสถ์นี้เป็นโบสถ์คาทอลิก ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมัน ผสมผสานแบบโรมัน เอกลักษณ์ของโบสถ์แห่งนี้คือ ด้านหน้ามีหอนาฬิกาสูง 56เมตร 2หลัง วันที่เราไปถึง บอกเลยว่ามีคู่บ่าวสาวมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันหลายๆ ต่อหลายคู่ ด้วยความที่อากาศดี สถานที่สวย เมืองชิงเต่าส่วนนี้จึงกลายเป็นที่สถานที่โรแมนติกอีกที่ของเมือง ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากมาถ่ายภาพสวยๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกเลยทีเดียว
ก่อนที่จะหมดวัน เราได้ขึ้นไปที่จุดชมวิว เสี่ยวอี๋ซาน ขึ้นไปปุ๊บไม่ต้องบอกว่าเย็นยะเยือกขนาดไหน เมื่อขึ้นไปแล้วเราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองชิงเต่า มุมสวยแปลกตา ชมบ้านเรือนสไตล์เยอรมันได้จากมุมสูง บอกเลยวิวดี ลมดี แต่เสื้อหนาวก็ต้องดีด้วย ไม่อย่างนั้นมีสิทธิ์หนาวตายแน่...
ก่อนพระอาทิตย์ตกดินก็ขอเดินรับลม อีกสักที เราและหมู่คณะเดินเล่นไปตามเส้นทาง ถนนแปดสาย เค้าว่ากันว่าเป็นจุดชมวิวที่เห็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปได้อย่างหลากหลาย ไกด์บอกเราว่า สมัยก่อน เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมัน อาคารบ้านช่องเลยยังคงเป็นสไตล์เยอรมันให้ได้เห็น
วันที่สาม....
ตื่นเช้ามาวันนี้หนาวหนักกว่าเดิม 9 โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่นมีอากาศ 6 องศาเบาๆ 'ชิงเต่า' เป็นเมืองที่นอกบ้านเย็นกว่าในบ้านราวกับเดินอยู่ในเมืองน้ำแข็งตลอดเวลา แต่วันนี้ไม่ต้องกลัว เพราะเราจะเข้าไปที่ Qingdao Beer Museum (โรงงานเบียร์) ไปเยี่ยมชมการก่อตั้งโรงงานถึงปัจจุบัน รู้จักวิธีการกลั่นเบียร์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก ชมเดินชมกระบวนการบรรจุเบียร์ใส่ขวด แถมงานนี้เราได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกประทับไว้บนขวดเบียร์ และยังได้รับกลับเมืองไทยไปอีกด้วย อิอิ ....
จากนั้นเราไปต่อกันที่ ภูเขาเหลาซาน ในขณะเวลาบ่ายนิด แต่ความหนาวนี่บอกเลยไม่เป็นสองรองใคร นี่ไงที่เค้าว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวใช่เปล่า!..... เขาว่ากันว่าภูเขาเหลาซานมีแหล่งน้ำแร่ที่นำมาใช้ทำเบียร์ชื่อดังอย่างชิงเต่า และเขาเหลาซานแห่งนี้เป็นแหล่งรวมของหมู่เหล่าเทวดา ซึ่งถ้าใครเที่ยวที่ชิงเต่าแล้วมาไม่ถึงเขาเหลาซานก็เท่ากับว่า ว่ามาไม่ถึงแลนด์มาร์กนั่นเอง กลับไปก็รู้สึกสึกขาดๆ อะไรไปสักหน่อย
ถึงเวลาแล้วกับเวลาที่เรารอคอยนั่นคือ ตลาดไท่ตง ไกด์บอกว่าเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงและมีความคึกคักที่สุดในชิงเต่า มีเสื้อผ้ารองเท้า ขนม อาหาร และของกระจุกกระจิกท้องถิ่นวางขายให้เลือกซื้อเลือกช็อปได้ตามสบาย อีกทั้งข้ามฟากไปอีกถนนนึกว่าเดินอยู่สยามสแควร์ร้อน ของบ้านเราซะอีก เพราะมีช็อปให้เลือกซื้อเช่นกันแถมยังมีร้านชานมไข่มุกของโปรดเราอีกด้วย ฟินไปเลยทีนี้ หนาวแค่ไหน ก็ต้องฟาดชานมไปนะ
วันที่สี่....
วันนี้!หนาวพอๆ กับเมื่อวานเลย 6 องศานิดๆ กับการเดินชม สวนจงซาน เห็นต้นเมเปิ้ล ใบเหลืองสีสวยเหมาะแก่การถ่ายรูปยิ่งหนัก ยิ่งเดินยิ่งฟินอยากเก็บเอาอากาศใส่กระเป๋ามาไว้ที่เมืองไทยจริงๆ เลย
ออกมาจากสวนจงซาน เราได้ไปเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ที่ทำการเก่าประเทศเยอรมนี สถาปัตยกรรมโบราณเป็นการก่อสร้างสไตล์ปราสาทแบบยุโรป ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์อิมพอร์ตมาจากเยอรมนีแทบทุกอย่างเลย ตลอดการเดินอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์เรานี่ตื่นตาตื่นใจมากๆ เลย
จากนั้นไปเที่ยวชม จัตุรัส54 ซึ่งไกด์บอกกับเราว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชิงเต่า งานศิลปะสีแดงรูปร่างแปลกๆ นี้ตั้งเด่นตระหง่านจนอดยกกล้องขึ้นมาถ่ายไม่ได้ บวกกับบรรยากาศที่ 8-9 องศา บอกเลยว่าเดินทั้งวันก็เดินได้ไม่มีเบื่อเลย ลมเย็นๆ ตีหน้ามันสบายเสียนี่กระไร
และไม่ไกล เราเดินรับลมไปเรื่อยๆ ก็ถึง ศูนย์เรือใบโอลิมปิกชิงเต่า สถานที่นี้เป็นที่จัดการแข่งขันเรือใบงานกีฬาโอลิมปิก ซึ่งเป็นหมู่บ้านนักกีฬา ศูนย์บริหาร ศูนย์ข่าว โดยภาพที่เราเห็นเป็นท่าจอดเรือสปีดโบ๊ตสีขาวจอดเรียงรายมากมาย ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้า ทำให้เมืองนี้ดูท่าเที่ยว น่ามาถ่ายรูปหนักเข้าไปอีก.
ปล.ถ้าใครมาเที่ยวแล้วบอกว่า ชิงเต่าไม่เหมือนอยู่จีนเลย ก็ไม่ต้องตกใจนะ ไกด์บอกว่า ที่นี่เค้านำเข้าต้นไม้ของประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเข้ามาปลูก พอไปรวมกับอากาศเย็นๆ ก็ยิ่งได้ฟีลญี่ปุ่นเกาหลีไปกันใหญ่เลย
และหากแฟนไทยรัฐออนไลน์อ่านจบแล้วจะรีบกดจองตั๋วเครื่องบิน อยากเดินทางไปสัมผัสลมหนาวที่ชิงเต่าด้วยตัวเองละก็ไปไม่ยาก 'นกสกู๊ต' ยินดีให้บริการด้วยวันและเวลาดังกล่าวนี้ หรือติดต่อสอบถามไปที่ www.nokscoot.com
ลองออกไปเปิดโลกของคุณสิ แล้วคุณจะรู้ว่าความสุขอยู่ใกล้เราแค่เอื้อมเอง คราวหน้าเราจะพาไปเที่ยวเมืองไหนอีกอย่าลืมติดตาม