สนุกกับการนั่งรถอีแต๋น  ซึ่งเห็นต้นตาลเยอะ  ไม่ใช่เมืองเพชร  แต่เป็นเมืองกาญจน์ ใกล้เมืองกรุงแค่นี้เอง.

นับ เป็นอานิสงส์ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับบัตรเครดิตยูโอบี จัดแคมเปญชวนผู้หญิงเที่ยวไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยทริปแรกไปใกล้ๆ แค่ จ.กาญจนบุรี กับ จ.สุพรรณบุรี โดย คุณปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผช.ผอ.ททท.สนง. กาญจนบุรี   ยืนยันว่า   เฉพาะเมืองกาญจน์ที่เดียวก็มีที่เที่ยวมากมายและหลากหลาย สามารถไปได้ทุกอำเภอ ขึ้นอยู่ว่าอยากไปชมอะไร อย่างที่ หมู่บ้านหนองขาว อ.ท่าม่วง ที่มีความเด่นตรงที่เป็นหมู่บ้านทางวัฒนธรรมที่สำคัญของเมืองกาญจน์ มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี

แต่เมื่อลองสืบย้อนความเป็นมาของหมู่บ้าน แห่งนี้ กลับพบว่าไม่ธรรมดา ด้วยความที่เป็นเส้นทางผ่านของกองทัพพม่าคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 กระทั่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้เอกราชได้ที่บริเวณหนองน้ำใหญ่มีดอก หญ้าสีขาวอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้ชื่อว่า   บ้านหนองหญ้าดอกขาว   และต่อมามีการกระชับคำจนเหลือแค่  บ้านหนองขาว  ที่คนอยู่ตอนนี้

...


ก็ยังดำรงชีวิตแบบเรียบง่ายในสังคมเกษตรกรรม สำเนียงพูดเหน่อหน่อยๆ และยังมีบ้านไม้เรือนเก่าเหลือให้เห็นอีกเยอะ   ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวหนองขาว   จนมี

คำกล่าวกันว่าเป็น หมู่บ้านที่ไก่บินไม่ตกพื้น เนื่องจากบ้านปลูกชิดจนหลังคาแทบจะเกยกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะส่วนใหญ่เป็นบ้านในหมู่เครือญาติ


ในเมื่อคิดจะมาเยือนบ้านหนองขาว กิจกรรมที่น่าทำอันดับแรกคือ การชม การสาธิตการทอผ้าขาวม้าร้อยสี ที่ตอนนี้มรดกการทอผ้าเหลือบ้านที่ทำกันไม่กี่หลัง ส่วนที่บ้านฝั่งตรงข้าม เป็นบ้านป้าทำขนม ที่ขึ้นชื่อก็คือ ขนมตาล ที่ผสมเนื้อตาลแท้ๆ ไม่เน้นแป้ง วิธีนึ่งก็ยังเป็นแบบเก่าคือใช้เตาฟืนเป็นหลัก และเมื่อได้คุยกับน้องนักเรียนอาสามาเป็นมัคคุเทศก์ ถึงรู้เพิ่มอีกว่า ที่นี่ไม่ได้มีแค่ ขนมตาล เท่านั้นที่ขึ้นชื่อ แต่ทั้ง 13 หมู่ ของบ้านหนองขาว ต่างก็มีของดีแตกต่างกันไป อาทิ ขนม เปียกปูน  ข้าวเกรียบว่าว  ขนมข้าวเหนียว ฯลฯ และที่ไม่ควรพลาดคือ น้ำตาลสด


เสร็จจากชมการทำผ้าขาวม้าร้อยสี มีมัคคุเทศก์ อาสาพาชมเรือนของชาวหนองขาว และสิ่งที่ต้องมีอยู่

ทุก บ้าน  ในห้องนอนหลัก  นั่นก็คือ  หม้อยาย  ที่เป็นความเชื่อของชาวหนองขาว  ที่ต้องมีหม้อดินบรรจุขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปคน   และของบูชาได้แก่ หมากพลู วางบนปากหม้อ


สำหรับหม้อยาย นี้จะมี 1 คน 1 หม้อ ด้วยความเชื่อที่ว่า ยายจะเป็นผู้ปกปักรักษาให้ทุกคนในบ้านมีความสุข ดูแลให้พ้นจากอันตรายทั้งปวง และเมื่อลูกหลานแต่งงานออกเรือนไป มีบ้านใหม่ ต่างฝ่ายก็จะรับยายไปอยู่ด้วย ทำให้มี หม้อยายเพิ่มขึ้น

ชมบ้านเสร็จ เปลี่ยนบรรยากาศไปชายทุ่ง ด้วยการนั่งรถอีแต๋นไปที่  ดงตาลโตนด  เพื่อชม  ป้าหมากบ บุญเฉลย   สาธิตการทำพิธีทำขวัญข้าว   ที่คุณป้าชื่อแปลกแต่คุยสนุกบอกว่า   พิธีนี้จะทำกันเฉพาะเมื่อเสร็จนา   ซึ่งทำปีละครั้ง เพราะแต่ก่อนทำนาตามฝน แต่เดี๋ยวนี้เมื่อคนทำนาได้ปีละหลายหน บวกกับคนที่จะมาสืบสานประเพณีท้องทุ่งแบบนี้ก็เหลือน้อย

...


ที่สำคัญเห็นปะรำพิธี ทำง่ายๆ แต่ ป้าหมากบ บอกว่าเครื่องบวงสรวงต้องครบ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ    กล้วย และพอถามถึงวัดประจำถิ่น

ที่ ใครๆมักบอกต้องไป   วัดอินทาราม ที่มีวิหารเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นที่ประดิษฐาน พระปางป่าเลไลยก์   ใครผ่านมาก็ต้องแวะสักการะ   และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านหนองขาว   คลังปัญญาที่รวบรวมเรื่องราวของคนบ้านหนองขาวไว้รอบด้าน


แต่สำหรับ ป้าหมากบ คุยฟุ้งว่าชอบไป วัดส้มใหญ่ ที่เก่าแก่ไม่แพ้กัน แถมมีคำเล่าขานปากต่อปากว่า วัดนี้เป็นสถานที่บวชของ พลายแก้ว ตัวละครเอกในวรรณคดีไทยขุนช้างขุนแผนด้วย   พอคุยสนุกก็เลย

ถาม ต่อว่าช่วงที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเป็นอย่างไรบ้าง ป้าหมากบ   ที่ยิ้มได้ตลอดบอกชัดๆ   คนมาเที่ยวลดลง โดยเฉพาะคนต่างชาติ พอสบช่องก็ถามต่ออีกว่า เป็นเพราะอะไร ซึ่ง ป้าหมากบ พูดได้ตรงดี ชนิดที่ฟังยังอึ้ง คิดอยู่ในใจ "ป้าอยู่กลางทุ่งแบบนี้ยังรู้ว่าอะไรเป็นอะไร"

...


สรุปเอาเป็นว่าใครอยากรู้สาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวฝรั่งหาย ต้องไปฟังจากปากป้าหมากบเองดีกว่า เพราะการเดินทางไปบ้านหนองขาวตอนนี้ง่ายมาก ถ้ามาเองจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นพุทธมณฑล ตามทางหลวงหมายเลข 323 ผ่านบ้านโป่ง จ.ราชบุรี แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 3209  โดยบ้านหนองขาว  อยู่ห่างจาก  อ.เมือง  แค่  12  กม. หรือถ้ามาจากสุพรรณบุรียิ่งสะดวกเพราะมาตามทางหลวงหมายเลข 324 เมืองกาญจน์-สุพรรณบุรี ตอนนี้ถนนกว้างขวางรถวิ่งสบาย

หากไม่อยากขับ รถมาเอง   คนหนองขาวบอกให้นั่งรถตู้โดยสารจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ   (ฝั่งเซ็นจูรี่) ก็ยังได้   แค่ชั่วโมงกว่า   เรียกว่าสะดวกซะขนาดนี้   โอกาสที่จะได้แวะไปเก็บเกี่ยวบรรยากาศชายทุ่ง...น่าจะมีมากขึ้นด้วย.