ก่อนไปเราตั้งคำถามกับตัวเองว่า ไปมาเก๊าจะเที่ยวไหนดี? การเดินทางไปมาเก๊าครั้งแรก เรื่องราวระหว่างทางทำให้เราเผลอหลงรักไม่รู้ตัว กับที่ท่องเที่ยวเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก ระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปมาเก๊าโดยเฉลี่ยคือ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ถือเป็นทางเลือกดีๆ สำหรับชาวไทยที่ไม่อยากใช้เวลาเดินทางนานมากนัก ทริปครั้งนี้ ไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสไปเยือนมาเก๊าไปกับการท่องเที่ยวมาเก๊าประจำประเทศไทยโดยใช้เวลา 4 วัน 3 คืน...

...

วันที่ 1 : หลงรักเกาะเล็กๆ “มาเก๊าก็เก๋าอยู่นะ”

เดินทางถึงสนามบินนานาชาติมาเก๊า เราไม่รอช้าขอทำความรู้จักกับมาเก๊าแบบคร่าวๆ เพราะเราสงสัยว่าที่นี่ นอกจากกาสิโนและขนมทาร์ตไข่มีอะไรน่าสนใจอีกบ้าง ยืดเส้นยืดสายพอสมควรเราเดินตรงแวะเคาน์เตอร์ การท่องเที่ยวมาเก๊าที่สนามบิน เพื่อรับข้อมูลการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวทุกคนสามารถแวะเวียนเข้าไปขอข้อมูลได้ มีทั้งแผนที่ แผ่นพับและหนังสือแจกให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการ หากต้องการสอบถามข้อมูลอะไรเจ้าหน้าที่ก็ยินดีจะตอบ

หลังจากนั้นเราได้มาเยือนที่พักโรงแรม ASCOTT MACAU หรูหรา ห้องใหญ่โต เราประทับใจสุดๆ เดินชมโรงแรม ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว เราได้เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่แรก “ทะเลสาบนัมวา” ได้ชมกิจกรรมงาน “Anim’Arte” ซึ่งเป็นตลาดนัดงานศิลปะ งานฝีมือ และกิจกรรม outdoor มากมาย ที่นี่อารมณ์เหมือนเดินเล่นสวนสาธารณะบ้านเรา มีลานให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น มีปั่นเรือเป็ดให้หนุ่มสาวได้สวีตกัน บรรยากาศดีไม่ใช่เล่น ใครชอบการเดินเล่นชิลๆ เราแนะนำให้มาที่นี่ในช่วงเย็นๆ ผ่อนคลายอารมณ์ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

...

หลังจากนั้นเราได้เดินทางไปยังอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของมาเก๊า คือ “มาเก๊าทาวเวอร์” (Macau Tower) เป็นหอคอย ที่มีความสูงอันดับ 10 ของโลก และเป็นอันดับ 8 ของเอเชีย มีความสูง 338 เมตร เราได้ชมวิวรอบๆ เกาะมาเก๊า ทั้งยังได้ดูกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ใครชอบกิจกรรมหวาดเสียวแบบนี้ต้องลองสักครั้งกับ Sky Walk มันคือการเดินชมวิวรอบหอคอยด้านนอก และ Sky Jump คล้ายกับการโดด Bungy Jump

...

สำหรับวันแรกก่อนกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมเราแวะเดินเล่นบริเวณ St.Lazarus District เราหลงรักที่นี่ โดยเฉพาะเวลาค่ำที่นี่เปิดไฟสว่างไสวเหลืองอร่ามทั้งคืน ทั้งยังมีตึกมากมายงดงาม บอกเลยว่าเสน่ห์ของมาเก๊าอีกหนึ่งอย่างคือตึกอาคารสวยหลากหลายแบบ มองจากในภาพว่าสวยแล้วแต่ถ้าคุณได้เห็นกับตาคุณจะประทับใจอย่างแน่นอน

...

วันที่ 2 : มรดกโลกกับธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในมาเก๊า

สำหรับเช้าวันที่สอง เราได้ไปชม “รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม” เคล้าวิวทิวทัศน์ของมาเก๊าและเกาะไทปา ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กยอดนิยมของมาเก๊าที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องแวะชื่นชมองค์เจ้าแม่กวนอิมเป็นรูปปั้นสีทองประดิษฐานบนดอกบัว ภายในฐานรูปปั้นเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติความเป็นมา ทั้งยังเป็นพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามานั่งพักและนั่งสมาธิอีกด้วย

ต่อมาเราได้แวะสักการะเทพอาม่า ที่ “วัดอาม่า” หนึ่งในมรดกโลกและเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า สร้างขึ้นมากกว่าห้าร้อยกว่าปี เรียกได้ว่าสร้างมาก่อนที่มาเก๊าจะกำเนิดขึ้นเสียอีก และคุณรู้หรือไม่ว่าวัดอาม่าเป็นที่มาของคำว่า ‘มาเก๊า’ อีกด้วย บริเวณทางเข้ามีก้อนหินใหญ่สลักรูปเรือสำเภาเอาไว้ จากนั้นเราก็เดินขึ้นเขาไป มันจะเป็นสเต็ป โดยเริ่มไหว้จากข้างล่างก่อนแล้วค่อยเดินขึ้นไปไหว้ตามจุดต่างๆ จนถึงข้างบนสุด

จากนั้นเราก็ได้ไปเยือน “หมู่บ้านวัฒนธรรมอาม่า” ที่นี่งดงามด้วยศูนย์วัฒนธรรมขนาด 7,000 ตารางเมตร ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองตำนานของเทพธิดาแห่งชาวเรือ เป็นสถาปัตยกรรมของหมู่บ้าน โดยหลักแล้วประกอบด้วยประตูหน้าแบบศาลา แท่นบูชาแกะสลักด้วยหินอ่อน วังทิ้นเฮ่า หอแต่งตัว หอระฆังและหอกลอง ศูนย์ขนาดใหญ่นี้ดึงดูดผู้ที่มีความศรัทธาต่ออาม่า นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวสามารถหาความสดชื่นได้จากสวนที่อยู่ถัดไปจากหมู่บ้าน หรือเดินตามเส้นทางขึ้นเขาเพื่อไปชม ที่อยู่บนยอดเขา และชมวิวที่งดงามของเกาะ ซึ่งที่นี่มีรูปปั้นอาม่าหรือเจ้าแม่ทับทิมที่สูงที่สุดในโลก

หลังจากนั้นเราได้เดินขึ้นเขาไปชม "อ่างเก็บน้ำฮักซา-สวนบาร์บีคิว" (Hac Sa Reservoir Country Park) เราไม่คิดว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ในมาเก๊า นอกจากตึกสวยๆ มากมายในมาเก๊าแล้วที่นี่ยังมีแหล่งธรรมชาติที่เราต้องบอกเลยว่า สดชื่น ร่มรื่น ได้รับโอโซนแบบเต็มปอด ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่ชาวมาเก๊านิยมไปพักผ่อนหย่อนใจล้อมรอบด้วยแมกไม้นานาพรรณของเขาโลอาน มีทั้งอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ น้ำตกจำลอง และที่สำคัญมีสถานที่ปิกนิกบาร์บีคิวไว้ให้นักท่องเที่ยวอีกด้วย


สถานที่สุดท้ายของวันนี้เราแวะไปเดินถ่ายรูปเล่นชิลๆ ที่ "หาดฮักซา" (Hac Sa Beach) เมื่อได้เห็นก็รู้สึกแปลกตาไปอีกแบบกับหาดทรายสีดำ ถึงจะไม่ได้ดำสนิทอย่างที่เราคาดหวังไว้แต่ก็ยังแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ที่นี่เป็นหาดทรายที่มีความพิเศษตรงที่น้ำในทะเลเป็นน้ำอุ่น และไม่มีคลื่น


วันที่ 3 : STEP OUT เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักที่มาเก๊า

สำหรับวันที่ 3 นี้บอกเลยวันนี้เราเดินกันลูกเดียว เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็แวะพัก เริ่มจาก "บ้านแมนดาริน" (Mandarin’s House) ที่นี่งดงามด้วยบ้านเรือนหลายหลัง ผู้รู้บอกกับเราว่าคฤหาสน์แมนดารินสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1874 เดิมเคยเป็นคฤหาสน์ที่อาศัยของนักประพันธ์จีนนามว่า เฉิง กวนยิง ที่นี่เป็นบ้านจีนแบบโบราณ ทั้งยังผสมด้วยรายละเอียดของความเป็นจีนและตะวันตกอย่างลงตัว 

เดินไปอีกนิดถึง "โบสถ์เซนต์ลอเรนซ์" (St. Lawrence’s Church) หนึ่งในสามโบสถ์เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ผ่านการบูรณะหลายครั้งจนถึงครั้งที่เห็นในปัจจุบัน ที่นี่ตั้งอยู่บนเนินเขามองลงไปคือทะเล บริเวณที่โบสถ์ตั้งอยู่เคยเป็นสถานที่ของครอบครัวที่มีฐานะ ซึ่งจะเห็นได้จากขนาดและสถาปัตยกรรมของอาคารซึ่งเป็นแบบนีโอคลาสสิกที่มีการตกแต่งแบบบารอกอยู่นิดๆ



"โรงเรียนศาสนาและโบสถ์เซนต์โจเซฟ" (St. Joseph’s Seminary and Church) ที่นี่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1728 เคยเป็นฐานสำคัญของผู้สอนศาสนาที่ทำงานในจีน ญี่ปุ่น และบริเวณใกล้เคียง โรงเรียนสอนศาสนาเซนต์โจเซฟสอนหลักสูตรเทียบเท่ามหาวิทยาลัย และในปี ค.ศ. 1800 พระราชินีโดนา มาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกสได้เสด็จมาประทานพระราชกระแสในหัวข้อ “House of the Mission Congregation” ถัดไปจากโรงเรียนสอนศาสนาเซนต์โจเซฟคือโบสถ์เซนต์โจเซฟซึ่งถูกก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1758 ซึ่งเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมบารอกในจีนตามที่ระบุไว้ในสิ่งพิมพ์ขององค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 2001

"โรงละครดอมเปโดรที่ห้า" (Dom Pedro V Theatre) โรงละครนี้ถูกก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1860 เป็นโรงละครแบบตะวันตกแห่งแรกในจีนที่สามารถจุผู้ชมได้ 300 คน โรงละครแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญมากสำหรับชาวมาเก๊า และยังคงเป็นสถานที่จัดแสดงงานและการเฉลิมฉลองต่างๆ ที่สำคัญอยู่

เมื่อพักกินข้าวจนหายเหยื่อยแล้ว เราก็นั่งรถไปเที่ยวที่ "พิพิธภัณฑ์บ้านไทปา" (Taipa Village) เป็นหนึ่งในมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมของเกาะไทปา เราชอบที่นี่มาก ด้วยความสวยแบบบ้านสไตล์โปรตุเกสทาสีเขียว 5 หลัง ซึ่งที่นี่ได้รับการจัดอันดับติดหนึ่งในแปดสถานที่ยอดนิยมของมาเก๊าอีกด้วย บอกตรงๆ เราไม่แปลกใจเลยเมื่อได้เดินชมบริเวณรอบๆ ก็มีนักท่องเที่ยวเยอะแยะมากมายรวมถึง คู่หนุ่มสาวที่กำลังจะแต่งงานมาถ่ายพรีเวดดิ้งอีกหลายคู่ด้วย


ก่อนกลับไปพักผ่อน เราได้แวะ Studio City ชมวิวมาเก๊าจากกระเช้าลอยฟ้าหรือชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ ชื่อว่า 'The Golden Reel' มันดึงดูดเราด้วยดีไซน์สวยงามเป็นเลข 8 หรืออินฟินิตี้ สำหรับวันนี้บอกเลยว่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ เหนื่อยแต่สนุกมากๆ จนอยากให้ทุกคนได้ตามรอยกันมา 


วันที่ 4 : ความงดงามในวันฝนตก

วันสุดท้ายของการเที่ยวมาเก๊า ใครจะพลาดแวะชม "ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล" (Ruins of St. Paul's) ไม่มาที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึงมาเก๊า วันนั้นฝนตกพรำๆ แต่บอกเลยว่านักท่องเที่ยวยังคงแน่นขนัด แม้ฝนจะตกแต่ความสวยความงดงามของซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลย ผู้รู้ได้บอกกับเราว่าโบสถ์แห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยนักบวชเยซุอิคชาวอิตาลี โดยตัวโบสถ์สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1835 ได้ถูกเพลิงไหม้ทำให้เหลือเพียงซากประตูด้านหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์

จบทริปนี้ที่ "จัตุรัสเซนาโด" (Senado Square) ถึงแม้จะเป็นวันฝนตกอย่างที่บอกไว้แต่เราก็ค่อนข้างประทับใจที่นี่ รอบๆ จัตุรัสเซนาโดเต็มไปด้วยตึกที่สร้างตามสไตล์ยุโรป รายล้อมไปด้วยอาคารแบบนีโอ-คลาสสิก ทาสีพาสเทล พื้นปูหินก้อนจากโปรตุเกส ที่ต้องบอกได้เลยว่าสวยงามมากๆ สำหรับใครที่ไปมาเก๊าเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะพลาดที่นี่ เพราะนอกจากตึกสวยๆ ให้คุณได้ถ่ายรูปชิกๆ กันแล้ว ใครอยู่ที่เซนาโดคุณสามารถที่จะเดินเชื่อมต่อไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช็อปปิ้ง สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ชมทัศนียภาพบ้านเมือง

จบทริปสั้นๆ ที่เราใช้ระยะเวลา 4 วัน 3 คืน บอกเลยว่าที่นี่ไม่ได้มีเพียงกาสิโนหรือทาร์ตไข่ที่ขึ้นชื่อ เราหลงรักที่เล็กๆ แห่งนี้แบบไม่รู้ตัว ถ้าถามว่าจะกลับมาที่นี่อีกมั้ย รับรองว่าถ้ามีโอกาสเราจะกลับไปเที่ยวเกาะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจแห่งนี้อย่างแน่นอน