จากเหตุการณ์พิบัติภัย "สีนามิ" ภาครัฐได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือมากมาย แต่ความช่วยเหลือเหล่านั้น ผู้มีส่วนรับผิดชอบเคยถามหรือไม่ว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการหรือไม่ และมีสิ่งใดบ้างที่ประชาชนต้องการจากผู้ช่วยเหลือ และนี่คือ เสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่กับ 5 ปี เหตุการณ์สึนามิ
รัฐ-เอกชนขี้โกงที่ดิน-ผักชีโรยหน้า
วิทยา เอี่ยมสกุล ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ สะท้อนปัญหาผ่าน ไทยรัฐออนไลน์ เกี่ยวกับปัญหาหลักๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับคนใน 4 จังหวัดที่ประสบภัยสึนามิว่า การรุกล้ำพื้นที่ของชาวบ้าน เป็นปัญหาอย่างมาก เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากที่ธรรมชาติได้เคลียร์พื้นที่ให้ แต่รัฐกลับไม่สานต่อ อีกปัญหาหนึ่งก็เป็นปัญหาสุสานสึนามิหรือที่เรียกกันว่า สุสานนิรนามบางมรวน ที่ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นที่เก็บศพจากเหตุการณ์สึนามิที่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ บางศพที่ถูกตรวจเอกลักษณ์และทราบว่าเป็นใครก็จะนำไปฌาปนกิจ แต่สำหรับศพที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวประมาณ 300 กว่าคน ก็ยังอยู่ในสุสานแห่งนี้ แต่ละปีก็จะมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาแสดงความไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งสถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยได้รับการดูแลมากนัก ปล่อยให้หญ้าขึ้นรกเรียกว่ามีงานสึนามิที ก็ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูที
วิทยา บอกอีกว่า ด้านระบบเตือนภัยที่เป็นความมั่นใจว่าประชาชนความปลอดภัยจากเหตุการณ์สึนามิก็มีหลายอย่างที่น่าเป็นห่วง เพราะนอกจากไม่มีการดูแลหอเตือนภัยแล้ว หลายๆ แห่งก็ไม่รู้ว่ายังใช้การได้หรือไม่ ทุ่นเตือนภัยที่มีก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไรใช้ได้หรือไม่ หรือมีเพียงพอหรือไม่ หากเกิดเหตุสึนามิอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะมีประชาชนสูญเสียอีกมากสักเท่าไร จึงอยากจะเรียกร้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาดูแล
“สิ่งหนึ่งที่เราเป็นห่วงมากก็คือคนที่มีอำนาจในพื้นที่ไม่ค่อยจะสื่อปัญหาที่มีมากมายให้กับหน่วยงานระดับนโยบายรู้ ดังนั้นเมื่อระดับนโยบายส่งอะไรมาผู้ที่มีอำนาจในพื้นที่ก็รับๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการจริงๆ หรือไม่” วิทยากล่าว
ทำลายวิถีมอร์แกน หอเตือนภัยไร้แผน ปัญหาที่รัฐต้องฟัง...!
ด้าน นายไมตรี จงไกรจักร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ กล่าวกับ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า สิ่งที่เป็นเรื่องน่าห่วงมากที่สุดสำหรับ 5 ปีสึนามิที่ผ่านมา ก็คือกรณีปัญหารุกล้ำที่ดิน เป็นปัญหาที่ใหญ่มากๆ
“ตอนแรกก็เป็นพื้นที่บริเวณชายฝั่งเพราะว่าทรัพยากรสูง เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว หลังจากนั้นก็ลุกลามไปพื้นที่ใกล้เคียงทำให้ปัญหาเกี่ยวกับที่ดินกว่า 122 ชุมชน เราได้นำเสนอกับรัฐบาลก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ปัญหา ซึ่งก็สามารถแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง เช่น กั้นแนวเขตชุมชน อนุโลมขอความร่วมมือให้อยู่ แต่การแก้ปัญหานี้ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน เมื่อพูดถึงระบบเตือนภัยรัฐจะเป็นผู้ดูแลในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นหอเตือนภัย หลุมหลบภัย สุสาน แต่รู้สึกว่ารัฐทำเหมือนระบบประปา เหมือนเป็นสิ่งก่อสร้างเฉยๆ การจัดการโดยรัฐทำให้ชุมชนไม่มีความรู้สึกหรือถ้ามีความรู้สึกก็ไม่สามารถจะเข้าไปจัดการได้ พัฒนาไม่ได้” 
ผู้ประสานงานเครือข่ายประสบภัยสึนามิกล่าวต่อว่า เรื่องหอเตือนภัยชาวบ้านรู้สึกว่าเขาไม่สามารถรอการเตือนภัยได้ บางทีข่าวทีวีก็ออกมาโอเวอร์เกินไป หนีกันบ่อยเกิน เยอะไปทำให้ชุมชนหลายชุมชนทำเรื่องแผนความพร้อมป้องกันภัยพิบัติของชุมชน มีแผนเตือนภัยขนาดไหน มีที่หลบภัยตรงไหน มาเตรียมความพร้อมรับมือกัน
“อย่างที่บ้านน้ำเค็มก็เป็นพื้นที่ต้นแบบเรื่องการเตรียมความพร้อมป้องกันภัยให้กับพื้นที่ในการเรียนรู้ทั้งในพื้นที่ระดับอันดามัน ระดับประเทศ ระดับนานาชาติ ทุกๆประเทศก็จะมาดูงานที่บ้านน้ำเค็มและเตรียมความพร้อม"
นอกจากนี้นายไมตรี ยังได้ระบายความอัดอั้นที่เกิดจากความไม่เข้าใจระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนมาว่า ถ้ามองในภาพรวมก็จะบอกว่าภาครัฐมีส่วนร่วม แต่จริงๆ แล้วชุมชนเป็นคนทำรัฐเพียงแค่มาร่วมเอาหน้า คือมาร่วมเพื่อให้เห็นองค์ประกอบ แต่เรื่องงบฯ น้อยมากที่จะเสนอให้ชุมชนทำ บางพื้นที่ไม่ได้เลย รัฐจะดูแลเรื่องโครงการ ไม่ได้ดูแลเรื่องอื่นๆ มีบางพื้นที่ 5 ปีแล้วยังไม่ได้กลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่เดิมเลย
“บ้านนี้ชื่อว่าบ้านบางสัก อ.ตะกั่วป่า จ. พังงา ทั้งหมด 37 ครอบครัวแต่ด้วยความที่เสียชีวิตกันเยอะ ทายาทก็ไปบวช บางคนก็ไปทำอาชีพรับจ้าง มี 18 ครอบครัวที่ยืนยันว่าจะกลับมาอยู่ที่พื้นที่เดิมเพราะว่าเป็นที่ทำมาหากินประกอบอาชีพ ซึ่งเรื่องนี้ท่านนายก อบต. อำเภอก็รู้ดีแต่ไม่รู้จะทำยังไง"
เขายังฝากถึงความต้องการของผู้ประสบภัยที่ต้องการจากรัฐบาลมาว่า รัฐต้องสนับสนุนเรื่องการเตือนภัยพิบัติให้เตรียมใช้ได้จริง ไม่ใช่อบรมเสร็จแล้วไม่สนใจ เพราะว่าชุมชนที่เคยประสบภัยหรือมีโอกาสเกิดภัยเขาต้องสามารถอยู่ร่วมกับภัยพิบัติที่จะเกิดได้ โดยมีความพร้อมเพียงพอ เพราะรัฐไม่สามารถมาดำเนินการได้ในภาวะฉุกเฉินได้ขนาดนั้น
“ที่สำคัญคือเรื่องที่ชุมชนต้องมีสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยที่ทำกิน เคยอยู่ที่ไหนก็ต้องอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่มาโยกย้ายอพยพเขาออกไป ปัญหาใหญ่ก็คือ ปัญหาที่ดิน และสัญชาติ คือกลุ่มคนที่อยู่ชายฝั่งมีหลายกลุ่มที่ยังไม่มีสัญชาติ รัฐต้องดูแลบุคคลกลุ่มนี้ีให้เข้าถึงสิทธิ์พื้นฐานหรือดูแลเรื่องความจำเป็นของเขาให้มีความเป็นมนุษย์เท่ากับบุคคลอื่น อีกเรื่องคือรัฐต้องปกป้องพื้นที่ในการรักษาวัฒนธรรม”
นอกจากนี้ กรณีพี่น้องมอร์แกน เขาจะมีการประกอบพิธีกรรมทางทะเลเยอะ อย่างเช่น การลอยเรือ การนอนหาด พิธีกรรมไหว้พ่อตาแต่ปัจจุบันมันถูกพัฒนาเป็นที่ท่องเที่ยว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่มีเหลือแล้ว แม้แต่สุสานฝังศพ ก็มีทั้งนายทุนบ้างใครต่อใครบ้าง ถมที่กัน ชายทะเลก็เข้าไม่ได้ก็กั้นรั้วไว้สำหรับนักท่องเที่ยวกัน วิถีวัฒนธรรมเหล่านี้ก็เริ่มหายไป
สุดท้ายเรื่องการประกาศเขตอุทธยานทางทะเลมาก นายไมตรีบอกว่า พอประกาศมากทำให้บางคร้ังเจ้าหน้าที่บางคนก็ไม่เข้าใจว่าคนไปหลบลมที่เกาะ เช่น สิมิลัน เกาะสุรินทร์ หรือการเข้าไปหากินของพี่น้องชาวมอแกน จะดำนำ้พอทำประมงแบบนี้ก็จะบอกว่าคุณบุกรุกอุทยานจับสัตว์ออกจากอุทธยานถือว่าผิด มี พ.ร.บ.หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับอวนลากอวนลุนพี่น้องชาวมอแกนพ่ีน้องชาวประมงชายฝั่งก็จะจับกุ้งเคยที่นำมาทำกะปิ
“ตอนนี้ถือว่าผิดกฎหมายถูกจับไปหลายคดีแล้ว เขาตีความตามกฎหมาย แต่เขาลืมดูวิถีชีวิต รัฐพื้นที่คงรู้แต่รัฐนโยบายคงไม่รู้หรืออาจจะรู้แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างจึงอยากฝากปัญหานี้ให้รัฐแก้ไขด้วย" นายไมตรี กล่าว
ขอความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว 
ด้าน ติ๊ก กลิ่นสี หรือ ชาญณรงค์ ขันทีท้าว ดาราชื่อดังซึ่งผ่านเหตุการณ์สึนามิมาได้อย่างหวุดหวิด กล่าวกับ ไทยรัฐออนไลน์ ผ่านสายตานักท่องเที่ยวว่า สิ่งที่ติดตาตลอดระยะเวลา 5 ปีสึนามิก็คือ ภาพที่ตัวเองเฉียดตาย คือ ตอนวิ่งหนีมัจจุราชร้ายสึนามิ ขณะไปท่องเที่ยวที่เกาะพีพี 
“ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักสึนามิเลย พอเห็นน้ำลดลงเราก็งงๆ ซึ่งสักพักใหญ่ๆ น้ำที่เคยลดลง กับมีคลื่นยักษ์เป็นระลอกก่อตัวสูงมากๆ วิ่งเข้ามาพวกเราที่เกาะพีพี ตอนนั้นผมยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรวะ น้ำลดอยู่ดีๆ มารู้สึกตัวอีกทีน้องที่มาด้วยกันตะโกนบอกให้วิ่งหนี เราถึงวิ่งหนีความตายนะ เชื่อหรือเปล่าว่า แม้จะผ่านมา 5 ปีนี้ ผมยังจำเสียงร้องโหยหวน ช่วยด้วย...! ของคนที่เราวิ่งผ่านมาได้เป็นอย่างดีมันเป็นเสียงร้องของคนที่กำลังจะตาย”
ติ๊ก กลิ่นสี กล่าวว่าตนในฐานะนักท่องเที่ยวอยากจะเรียกร้องให้ภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการป้องกัน ก็จริงๆแล้วมนุษย์ก็มีภาวะที่จะต้องทำมาหากินเราไม่เคยเกิดเราไม่รู้ แต่เมื่อเกิดแล้วเราควรจะป้องกัน ป้องกันอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเมืองไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ป้องกันอยู่ตอนนี้ก็มีหอเตือนภัย ไซเรน ทุ่นเตือนภัย การซ้อม 
“ทุกๆ ครั้งเวลาเรามองจากภาพทีวี ความเสียหายจากความแรงของน้ำมันมีอำนาจมากจนไม่น่าเชื่อว่าเวลาพัดบังกะโล พัดเพียงแค่ 2-3 วินาทีเท่านั้นหายเลย คือมวลมันแน่นมาก ผู้ที่เสียชีวิตก็เกิดจากการกระแทก ดังนั้นก็อยากให้ผู้มีอำนาจหาวิธีป้องกันเพื่อสวัสดิภาพของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ ที่ถือว่าเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย” ติ๊กกล่าว.
...