แม้ว่าทางเหนือจะย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แต่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ยังมีสายฝนโปรยปรายอยู่เป็นเนืองๆ ต้นไม้ใบหญ้าที่อุทยานแห่งชาติ “กุยบุรี” จึงชูช่อเขียวชอุ่ม เป็นอาหารชั้นดีของช้างป่ากว่า 300 ตัวที่อาศัยอยู่ที่นี่...

 


เสน่ห์ของการเที่ยว ในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี คือ การนั่งรถตะลุยซาฟารีธรรมชาติ ฝ่าทางลูกรังเล็กๆ มุ่งเข้าสู่ผืนป่า ที่มีบรรดาช้างน้อยใหญ่ ซ่อนตัวอยู่

...


รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ ที่จะนำนักท่องเที่ยวไปส่องสัตว์ในป่ากุยบุรี ทุกคนต้องนั่งท้ายกระบะหมด ไม่มีข้อยกเว้น เพราะเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวเข้าไป ต้องพึ่งพาบริการจากชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สัตว์ป่ากุยบุรี รถ 1 คัน บรรทุกผู้โดยสารไม่เกิน 10 คน เหมาจ่าย 850 บาท
 
ช่วงเวลาเข้าป่า และเหมาะแก่การส่องสัตว์ เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ จนถึงเย็นย่ำ ตั้งแต่ 15.00-18.00 น. งานนี้เรามีอุปสรรคเพราะฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เกือบผิดหวังว่า อาจะไม่ได้ยลโฉมฝูงช้างป่า ดาราของที่นี่

แต่พอฝนซา ฟ้าสดใส บรรดาดาราก็ทยอยปรากฏตัวหลังพุ่มไม้ ออกมาแทะเล็มอาหารโปรดของพวกมัน มีทั้งช้างใหญ่ ช้างน้อย เกือบ 20 ตัว บรรดาเจ้าตัวน้อยมีกิริยา เลียนแบบแม่ และเดินตามผู้ใหญ่ เรียนรู้วิถีเอาตัวรอดในป่าใหญ่ เป็นภาพประทับใจที่เหล่านักท่องเที่ยวพากันยกกล้องลั่นชัตเตอร์ รัว รัว
 
วรวุธ เกศมี รองประธานชมรมท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์ สัตว์ป่ากุยบุรี เล่าว่า ที่นี่ไม่ได้มีเฉพาะ ช้างป่า แต่ยังมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่า 11 ชนิด โดยเฉพาะกระทิงฝูงใหญ่ที่ซ่อนตัวในป่าอีกมากมาย

...

...


แสงเริ่มจะหมดลง นักท่องเที่ยวทั้งหมดต้องออกจากป่า เพื่อความปลอดภัย เพราะผืนป่ากว้างใหญ่ 605,625 ไร่ หรือ 969 ตารางกิโลเมตร เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงหากปล่อยให้เราอิสระอยู่ในป่าใหญ่
 
ใครที่สมัครใจจะพักในอุทยานมีลานกางเต็นท์ให้ หรือจะเลือกพักผ่อนในโฮมสเตย์ หรือ รีสอร์ตใกล้ๆ เช้าตรู่ ก็สามารถเดินทางมาเก็บหมอก หยอกตะวัน ในอุทยานได้

...

ภาพของรุ่งอรุณ ขณะที่ดวงอาทิตย์ทอแสงงดงามเหนือทิวเขา สาดส่องลงทุ่งหญ้าปศุสัตว์ หมอกลอยเอื่อยๆ ปกคลุมยอดเขา อากาศสดชื่น เป็นภาพความประทับใจที่ไม่ควรพลาดสำหรับการมาเยือนที่นี่
 
อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครเพียง 280 กิโลเมตร ในช่วงเดือนพฤศจิกายนฤดูหนาวจึงจะมาเยือนที่นี่ ใครอยากสัมผัสอากาศเย็นๆ พร้อมๆ กับการชมซาฟารีธรรมชาติ ลองแวะเวียนมา รับรองไม่ผิดหวัง